ย่อมเป็นปกติธรรมดาในชีวิตของทุกคนที่ต้องพบพานเรื่องที่เลวร้ายทำลายจิตใจ หลายครั้งเกาะกินจนกลายเป็นแผลเป็น บางคนอาจฝังลึกจนคิดว่าเวลาได้เยียวยาจนหายดีแล้ว แต่พอวันดีคืนเลว มีอะไรไปสะกิดเข้าก็อาจพบว่ามันยังไม่หายไป ยังคงเจ็บปวดได้ใหม่เหมือนเดิม ซึ่งหนังบางเรื่องก็พยายามเหลือเกินที่จะหยิบสิ่งนั้นมาเล่าถึง เฉกเช่น ‘Drive My Car สุดทางรัก’ ที่บอกเล่ามันในอีกมุมนึง
มันเป็นเรื่องราวของคนสองคนบนรถคันเดียวกัน เมื่อหญิงสาวอีกคนได้มาเป็นคนขับรถให้กับชายวัย 47 ที่เป็นผู้กำกับละครเวที ถ้อยคำที่เขาโปรยเอาไว้ “ผมดีใจนะที่คุณมาเป็นคนขับรถให้ผม” เขาผู้ทุกข์ทนจากความรักที่เขาไม่เคยเข้าใจ เธอผู้ล่มสลายจากความหลังที่ไม่เคยมีใครรับรู้ และเรื่องราวบนรถสีแดงคันนั้น เมื่ออดีตและความลับของทั้งคู่ถูกเปิดเผย…
ฉุกชวนให้ผลรู้สึกอยากดูหนังญี่ปุ่นโคตรยาวเรื่องนี้
เรื่องย่อหนัง ‘Drive My Car’
เป็นบทหนังที่ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ ฮารูกิ มูรากามิ ที่ชื่อ ‘Men Without Women’ บอกเล่าเรื่องราวของ ยูซูเกะ ฮาฟูกุ (Hidetoshi Nishijima/ฮิเดโตชิ นิชิจิมะ) ชายผู้กำกับละครเวทีที่มีภรรยาชื่อ โอโตะ (Reika Kirishima/เรกะ คิริชิมะ) เธอประกอบอาชีพเป็นผู้เขียนบท ทั้งสองเคยมีชีวิตหลังแต่งงานที่แสนสุข แต่วันหนึ่ง เธอก็จากไปอย่างกะทันหัน ทิ้งไว้เพียงบาดแผลและความลับ ตอนนี้ เหตุการณ์นั้นผ่านไปได้ 2 ปีแล้ว
สองปีผ่านมา เขายังไม่อาจทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ จนวันหนึ่ง เขาก็ได้รับเชิญให้ไปกำกับละครเวทีที่ฮิโรชิม่า ซึ่งอาจเป็นทางหนึ่งในการเยียวยาบำบัดจิตใจที่บอบช้ำอยู่ก็ได้
ที่นั่น มีกฎในการหาคนขับรถฝีมือดีให้กับนักแสดงคนสำคัญ นั่นจึงทำให้เขาได้พบกับ มิซากิ วาตาริ (Toko Miura/โทโกะ มิอุระ) หญิงสาววัยรุ่นผู้เงียบขรึม ดูไม่ยินดียินร้ายอะไรกับชีวิต แต่เธอมีความสามารถในการขับรถขั้นสุดยอด ความแตกต่างกันมากจะทำให้บรรยากาศบนรถคันสีแดงเป็นยังไงบ้างนะ?
แต่ดูเหมือนการเดินทางไปบนถนน จะพาให้คนทั้งสองได้ค้นพบบางสิ่งที่ปิดซ่อนเอาไว้ และเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง
รีวิวหนัง สุดทางรัก
มองเห็นหนังที่มีความยาวระดับ 2 ชั่วโมง 59 นาที แบบนี้ คนดูก็อาจนึกแขยงในใจ หนังอะไรกัน ยาวตั้ง 3 ชั่วโมง แต่เมื่อได้เข้าไปดูเองจึงพบว่า แม้ตัวหนังจะเดินไปอย่างไม่รีบร้อน แต่ก็มีอะไรให้เล่า ให้เรานั่งฟังบทสนทนา นั่งดูชีวิตที่คล้ายเป็นไดอารี่เล่มหนา บรรจงเขียนบอกเล่าทุกสิ่งที่พบเจอมา ในแต่ละวัน แต่ละวัน ให้เราซึมซับ
เริ่มต้นมันเป็นเรื่องคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่ดูเหมือนจะอบอุ่นมีความสุข คนหนึ่งเป็นมือเขียนบท อีกคนเป็นมือกำกับ [แต่ก็ลงมือแสดงเองด้วยนะ] ทั้งสองคนมีความสุขกับการแต่งเรื่องราวแม้ร่างกายจะยังเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงนอน แต่นั่นเป็นเพียงภาพความทรงจำ หลังเขาได้พบกับเรื่องลับของเธอที่โคตรช็อกเข้าโดยบังเอิญ วันต่อมา ก็พบว่าเธอเสียชีวิตและจากเขาไปไกล
ผ่านมาสองปีแล้ว แต่อดีตสามีคนนี้ยังคงไม่อาจมูฟออน
จนวันที่เขาขับรถคันเก่าสีแดงที่ใช้มานาน รักมาก คันนี้ไปฮิโรชิม่าคนเดียว เพื่อรับงานใหม่ กำกับละครเวทีในเทศกาลหนึ่งที่นั่น เขาคงไม่ได้คาดคิดว่า รถคันเดิมจะมีผู้ร่วมทางอีกคนเป็นสาววัยรุ่นหน้าตาเฉยชา ด้วยกฎอะไรก็ไม่รู้ของผู้จัด แม้ไม่เต็มใจแต่พอนั่งไปๆ ก็เหมือนจะยอมรับในฝีมือการขับของเธอคนนี้อยู่ไม่น้อย
ขณะเดียวกัน งานกำกับละครเวทีก็ดำเนินของมันไปเรื่อยๆ
จะว่าเป็นหนังที่ดูง่ายก็พอจะพูดได้ว่าใช่ เรื่องราวมันดำเนินไปตามครรลองและขั้นตอนของการทำละครเวที ตั้งแต่แคสต์ คัดเลือกนักแสดง อ่านบท ทำความเข้าใจอารมณ์ตัวละคร ซ้อม และสุดท้ายก็คือแสดงต่อหน้าคนดู ซึ่งในระหว่างนั้น ก็จะเกิดเรื่องราวต่างๆ ระหว่างคาฟุกุกับสาวคนขับรถ ระหว่างคาฟุกุกับนักแสดงคนอื่นๆ
บาดแผลในใจจะถูสะกิดให้ผุดขึ้นมาเอ่อท้นท่วมใจ
แต่ก็เหมือนมีบางสิ่งที่กำลังถูกเปิดเผยและคลี่คลาย ความสัมพันธ์ที่เรียบเฉยระหว่างสองคนในรถคันแดงก็เริ่มขยับ จากแค่คนขับรถ เธอเริ่มจะมีตัวตน และเริ่มจะเข้าไปมีส่วนกับจิตใจข้างในของคาฟุกุมากขึ้น
ระหว่างนั้น ละครเวทีก็กำลังเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเรื่อยๆ บทละครที่ถูกซ้อมพูด ซ้อมส่งอารมณ์ มีบางอย่างที่คล้ายจะสัมพันธ์กับความจริงที่คาฟุกุพบเจอ ดังเหมือนละครที่กำลังบอกอะไรบางอย่างกับตัวเขา มันอาจเป็นการทับซ้อนระหว่างความจริงที่ตัวละครกำลังเผชิญกับบทละครที่พวกเขาต้องซ้อมต้องแสดง ตรงนี้ถ้าจะไม่ใส่ใจ ไม่คิดมากก็คงปล่อยไปได้ แต่ถ้าดูเอาแบบลงลึกก็น่าจะมีอะไรให้คิดตริตรองมากอยู่เหมือนกัน
อย่างที่ว่า หนังอาจยาวแต่มีอะไรให้คิดตามเยอะเลย
อาจเป็นหนังที่สามารถดูมากกว่า 1 รอบได้ เพราะครั้งแรก เราอาจทำความเข้าใจมันได้ไม่ทั้งหมด แม้ทุกสิ่งจะดูสื่อสารออกมาแบบเรียบง่ายๆ แต่เพราะความยาวนานของหนังก็อาจทำให้บางช่วง สมาธิของเราอาจหลุดได้เช่นกัน
จากที่เฝ้าสังเกต มันเป็นหนังที่เล่าแบบเงียบๆ บ่อยครั้งมาก ดนตรีประกอบแทบไม่ได้ถูกใช้ จะมีมาให้ได้ยินเป็น 4-5 หนเท่านั้น และก็มักจะเป็นช่วงการเดินทางบนถนนของรถคันแดงเสียเป็นส่วนใหญ่ และทุกเพลงล้วนไพเราะน่าฟัง โดยเฉพาะเพลงปิดท้ายนี่ถึงขนาดต้องนั่งฟังจนจบเพลงถึงจะยอมลุก
หนังอาจบอกกับเราว่า… เราอาจจมจ่อมอยู่กับอดีตที่แสนปวดร้าวใจได้ เหมือนอย่างหนังที่เปิดให้เราจ่อมจมอยู่ตรงนั้นอย่างยาวนาน นานพอจะมองเห็น เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เป็น จากนั้นมันจะช่วยทายาสมานแผลให้ ฮีลจิตใจให้พร้อมเดินต่อในชีวิตส่วนที่เหลือ
กลายเป็นว่าตอนจบ ทั้งตัวละครและคนดู ล้วนได้ถูกเยียวยาไปพร้อมๆ กัน
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Drive My Car / สุดทางรัก / ドライブ・マイ・カー |
ผู้กำกับ | Ryusuke Hamaguchi/ริวสุเกะ ฮามากุชิ |
ผู้เขียนบท | Ryusuke Hamaguchi, Haruki Murakami/ฮารูกิ มูรากามิ (short story), Takamasa Oe |
นักแสดง | Hidetoshi Nishijima, Toko Miura, Reika Kirishima, Sonia Yuan, Park Yoo Rim, Masaki Okada |
แนว/ประเภท | Drama |
เรท | |
ความยาว | 179 นาที |
ปี | 2021 |
รางวัลที่ได้รับ | รางวัลบทยอดเยี่ยม คานส์ 2021 และตัวแทนญี่ปุ่นส่งชิงออสการ์หนังต่างประเทศยอดเยี่ยม |
เข้าฉายในไทย | 11 พฤศจิกายน 2021 |
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย | Bitters End, C&I Entertainment, Culture Entertainment, Drive My Car Production Committee |
สุดทางรัก
พล็อตและบท - 8.6
การแสดง - 8.6
การดำเนินเรื่อง - 9
เพลงและดนตรีประกอบ - 8.5
งานถ่ายภาพ - 8.3
8.6
Drive My Car
หนังญี่ปุ่นที่เขียนบทได้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงขั้นเป็นตัวแทนประเทศเข้าชิงออสการ์สาขาหนังต่างประเทศ ทั้งยังมีความยาวถึง 2.59 ชั่วโมง บอกเล่าเรื่องของผู้กำกับละครเวทีที่บอบช้ำหลังสูญเสียภรรยา แต่ได้มาเจอกับสาววัยรุ่นที่ขับรถคันแดงให้เขา ระหว่างทำละครเวที เขาก็ได้โอกาสทำความเข้าใจตนเองผ่านบทสนทนาระหว่างตนกับคนขับรถ สุดท้ายได้เยียวยาจิตใจทั้งตัวละครและคนดู