ช่วงนี้ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระบาดหนัก ความถี่ในการดูหนังดูเหมือนจะต่ำลงเรื่อยๆ และบางครั้งก็ต้องใช้วิธีดูหนังที่บ้านแทน วันนี้ หยิบเรื่องมาฝากกันเสียหน่อย นานๆ จะเขียนถึงหนังญี่ปุ่นสักที ‘Departures’
หลายคนบ่นว่าหนังญี่ปุ่นที่เนิบนาบและเน้นกับอารมณ์ พาลให้ไม่ชอบดูไปเสียอย่างนั้น แต่ผมไม่ ผมเป็นพวกชอบซึมซับอารมณ์จากหนัง หนังญี่ปุ่นจึงถูกโฉลกกับผมอยู่หลายเรื่อง เรื่องนี้มีคนแนะนำแกมชื่นชมมา ผมก็ไม่พลาดศรัทธาขอชมสักหน่อย
เรื่องราวชายหนุ่ม ผู้ซึ่งรักการเล่นเชลโลมาตั้งแต่วัยเด็กจากการสนับสนุนของพ่อ เติบโตมาเป็นชายหนุ่มที่มีความใฝ่ฝัน จนวันหนึ่ง เขาก็ได้เป็นนักเชลโลอยู่ในวงออร์เคสตร้าวงหนึ่งในโตเกียว แต่ความฝันที่กำลังจะสำเร็จต้องสะดุดลง เมื่อวงที่เขาเล่นอยู่ต้องถูกยุบ เชลโลราคาสูงลิ่วที่เพิ่งซื้อมาวางอยู่ตรงนั้น ความเคว้งคว้างที่ก่อตัวขึ้น ทำให้เขาตัดสินใจขายเชลโลทิ้ง แล้วย้ายตัวเองกับภรรยาสาวไปอยู่ยามากาตะ
ที่ซึ่งเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล…
ยามากาตะคือบ้านเกิดของเขา ที่ซึ่งมีคนที่เขารู้จักมากมาย แต่การจะอยู่รอดก็คือต้องหางานทำ แต่งานที่เขาได้ทำอย่างไม่คาดคิด กลับเป็นงานที่เขาเองก็ยังรับมันไม่ได้ “งานจัดพิธีศพ” งานที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม ขนาดตัวเขาเองยังต้องปิดบังภรรยาสุดที่รัก ปิดบังทุกคนที่เขารู้จัก
และค่อยๆ ซึมซับในอาชีพอาชีพนี้เข้าไปทีละหน่อยๆ
ไม่เคยคิดมาก่อน ว่า อาชีพแบบนี้จะมาอยู่ในหนังได้ และคนเขียนบทก็ไม่ได้ใส่แต่เรื่องอาชีพนี้เข้าไปโดดๆ เท่านั้น ยังพ่วงเอาแง่มุมจิปาถะเข้าไปผสมปนเปกันด้วย แง่มุมของครอบครัว แง่มุมของปรัชญาแห่งการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ที่ดูแล้วนึกไปถึง ‘The Curious of Benjamin Button’ เลยล่ะ เพราะมันพูดถึงในเรื่องที่ใกล้เคียงกัน
ถึงแม้หนังญี่ปุ่นเรื่องนี้ออกจะดำเนินเรื่องแบบเรื่อยๆ เหมือนเรื่องอื่นๆ แต่ก็มีฉากที่ใส่มุกตลกให้เราขำแทรกๆ เข้ามาอยู่พอสมควรเหมือนกัน แต่บทจะจริงจังนี่ก็เล่นซีนเงียบอยู่หลายหน ประเภทดนตรีไม่ต้อง แค่ภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ในจอก็สะกดให้คุณหลับ เอ้ย สะกดอารมณ์ให้คุณคล้อยตามได้แล้ว
เรื่องดนตรีก็เป็นอีกส่วนที่หนังทำได้ดี ดนตรีของ Joe Hisaishi สะกดคนดูได้ชะงัด สอดรับกับภาพ อย่างช่วงที่พระเอกเอาเชลโลในวัยเด็กมาเล่นบนเนินดินเขียวขจี นั่นก็เป็นช่วงที่สวยงามของหนังเรื่องนี้ได้เลย
ผมว่า การถ่ายทำที่ค่อนข้างสื่อสารทางภาพ ทำให้คนดูคิดตามได้ หนังเรื่องนี้ไม่ได้ยากเกินกว่าจะคิดตามไม่ทัน พอคุณคิดทันหนัง คุณก็จะรู้สึกชอบที่เขาวางบทและภาพไว้แบบนั้น เหมือนหนังเรื่องนี้พยายามเล่นกับทุกอย่าง หยิบฉากอีโรติกมาใส่ก็เอา ใส่ปมในวัยเด็กของพระเอกมาใส่ทั้งช่วงต้น ช่วงกลาง และยังไปเล่นที่ช่วงท้ายอีก ใส่สัญลักษณ์ (Symbol) ลงไปในหนังด้วย แม้กระทั่ง End credit ก็ยังแสดงภาพการจัดศพ อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า คนญี่ปุ่นเวลาทำอะไรนี่มันช่างสุดโต่งจริงๆ
ใส่เสื้อผ้าให้ศพ ยังทำเป็นพิธีรีตองกันขนาดนั้น…
หลายคนโดนหนังเรื่องนี้เรียกน้ำตาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผมกลับเศร้าๆ เพียงสองฉากเท่านั้น โดยหนึ่งในนั้น เรียกน้ำตาได้ หากคุณชอบดูหนังแล้วมีอารมณ์ร่วม ก็ลองสัมผัสกับ Departures ดูนะครับ
ภาพยนตร์เรื่อง Departures / คนส่งวิญญาณ / Okuribito
กำกับโดย Yôjirô Takita
เพลงประกอบโดย Joe Hisaishi
แสดงนำ Masahiro Motoki, Ryoko Hirosue
ความยาว 2 ชั่วโมง 10 นาที
ตัวอย่างรางวัลที่ได้รับ 81st Academy Awards: Best Foreign Language Film, 32nd Japan Academy Prize: Best Film, Best Director, Best writing, Best Actor, Best Supporting Actor , Best Supporting Actress, Best Cinematography, Best Film Editing, Best Sound Mixing, Best Lightings
เออ…ยังไม่ได้ดู Benjamin Button เลย…..
ได้ดูเรื่องคนส่งวิญญาณแล้ว เรียกน้ำตาได้จิงๆ
สุดยอด ดนตรีซึ้งมากเลยค่ะ
เรื่องนี้ดูแล้วชอบมากกกกกกกก เศร้า อิ่มเอม หัวเราะ พบสัจธรรม ได้ครบทุกอย่างเลยฮะ
สงสัยต้องไปหาโหลด มาดูบ้างแล้ว ^^’
น่าเสียดายในพากย์ไทยไม่มีตอนคุณยายที่เสียชีวิตกับหลานสาว ซึ้งตอนที่หลานสาวขออนุญาตพระเอกใส่ถุงเท้ายาว ๆ ที่เด็กวัยรุ่นญี่ปุ่นใส่กันใส่ให้คุณยาย เป็นครั้งสุดท้าย เพราะคุณยายอยากใส่ ทำให้คิดเลยว่า ยายหลานคู่นี้คงผูกพันกันมาก และคุณยายคงจะมีจิตใจวัยรุ่นไม่น้อยเลยทีเดียว
หรือว่าตอนที่ต้นเรื่อง ที่พระเกย์ทำศพแล้วสอบถามแม่ของผู้ตายว่า จะให้แต่งศพเป็นผู้หญิงรึว่าผู้ชาย เพื่อเป็นการยอมรับในสิ่งที่ลูกชายตัวเองเป็นจึงยอมให้แต่งหญิง มันกินใจมาก ๆ ดูแล้วต้องดูอีกทีเดี่ยว
ดูแล้ว น้ำตาร่วงเลยนะ แอบเคืองนางเอกไม่น้อยเลย
เป็นอาชีพ ที่น่านับถือมาก และ ทำให้คนที่เค้าตายไปแล้ว
มีความสุขเนอะ เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 5 เลยค่ะ
ดูตอนนั้นแล้วรู้สึกถึงความผูกผันเลยล่ะ
ส่วนตัวชอบตอนที่พระเอกเล่าเรื่องจดหมายก้อนหินนะ
คุณพ่อของพระเอกช่างน่ารักจริง