รีวิวหนัง Cruella | ครูเอลล่า ต้นกำเนิดตัวร้ายสายแฟชั่น

ตอนเด็กๆ ก็พอจะเคยผ่านตากับแอนิเมชัน 101 ดัลเมเชี่ยน ที่มีตัวเอกมีท่าทีร้ายๆ ทรงผมที่มีสองสีแบ่งข้างขาวดำ แล้วเวลาก็ผ่านไปนานจนเริ่มลืมเลือน แม้จะยังคงจดจำเจ้าหมาลายจุดได้ติดตา จนมาถึงวันนี้ที่ดิสนีย์หยิบการ์ตูนคลาสิกมาปัดฝุ่นอีกครั้งแล้วแปลงร่างเป็นภาพยนตร์คนแสดง แถมยังเป็นการบอกเล่าภาคกำเนิดวายร้ายสายแฟชั่นอย่าง ‘Cruella’ อีกเสียด้วย

ผลงานการกำกับของ Craig Gillespie ที่เคยฝากผลงานอันยอดเยี่ยมอย่าง ‘I, Tonya’, ‘Million Dollar Arm’, ‘The Finest Hours’ และ ‘Fright Night’ เอาไว้ ในด้านการเขียนบท ได้การร่วมมือกันระหว่าง Dana Fox (‘Couples Retreat’ และ ‘What Happens in Vegas’) และ Tony McNamara (‘The Favourite’) ที่หยิบเอาเค้าโครงเดิมมาเขียนเพิ่มเติมจนกลายมาเป็น…

A live-action prequel feature film following a young Cruella de Vil.

เรื่องย่อหนัง ‘Cruella’

ภาพยนตร์ภาคนี้จะพาทุกคนย้อนไปรู้จักกับตัวตนของเอสเตลล่า (Emma Stone/เอมม่า สโตน จากหนังเรื่อง ‘La La Land’, ‘Easy A’ และ ‘Zombieland: Double Tap’ ) ว่า ชีวิตของเธอมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร และอะไรที่จะทำให้เธอกลายมาเป็นครูเอลล่าอย่างที่เรารู้จัก

เรื่องราวของการแก้แค้นที่จะกลายเป็นเรื่องสนุก

แม้ตัวเองจะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับ แจสเปอร์ (Joel Fry จากหนังเรื่อง ‘Yesterday‘ และซีรีส์เรื่อง ‘Game of Thrones’) กับฮอเรส (Paul Walter Hauser จากหนังเรื่อง ‘I, Tonya’ และ ‘BlacKkKlansman’) ดำรงชีวิตด้วยการเป็นโจร แต่เธอก็เติบโตขึ้นมาโดยที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และเธอก็มีเดอะบารอนเนส (Emma Thompson/เอมม่า ทอมป์สัน จากหนังเรื่อง ‘Saving Mr. Banks’, ‘Bridget Jones’s Baby’ และ ‘Last Christmas’) เป็นเหมือนไอดอลและแรงบันดาลใจ

แต่ความจริงแล้ว เดอะบารอนเนส ที่เธอคลั่งไคล้ชื่นชมนั้นไม่ได้เป็นอย่างเช่นที่เธอคือ คนผู้มีทั้งความเย่อหยิ่งและเห็นแก่ตัว ในวันที่เธอได้ร่วมงานด้วย เธอจึงได้เห็นชัด และยิ่งอยู่ใกล้กันก็ยิ่งมองเห็นธาตุของคนๆ นี้มากขึ้นทุกที จนในที่สุด ก็นำไปการสู่การล้างแค้น

รายละเอียดที่เหลือขอเชิญท่านรับชมด้วยตัวเอง ไม่ก็อาจรีวิวไปพลางๆ โดยที่เราจะสปอยล์ให้น้อยที่สุด!

รีวิวหนัง ‘ครูเอลล่า’

มันเป็นเรื่องที่เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ เอสเตลล่า เด็กสาวผู้เกิดมาพร้อมกับผมสองสี ขาวและดำ ผิดแผกแตกต่างไม่เหมือนชาวบ้าน ซึ่งนั่นกลายเป็นสิ่งที่เพาะบ่มให้เธอเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่เข้มแข็ง เติบโตมาด้วยการเป็นเด็กกำพร้าในแก๊งเพื่อนที่เป็นโจร เรื่องเล่าที่บ่งบอกถึงชีวิตเบื้องหลังของเอสเตลล่า เป็นแรงส่งสำคัญและน่าเชื่อถือพอที่ทำให้เธอกลายเป็น… ครูเอลล่า

หนังเล่าย้อนไปไกลถึงยุค 70’s ทุกสิ่งเลยดูวินเทจ ทั้งบ้านเมือง ห้องหับตึกราม รถรา เสื้อผ้า แฟชั่น ไปจนถึงวัฒนธรรม เมื่อรวมเข้ากับเรื่องราวและบุคลิกของคาแรกเตอร์นำที่ค่อนข้างแสบแซ่บ บวกกับมีความสามารถในการออกแบบสร้างสรรค์เชิงแฟชั่น ทำให้หนังเรื่องนี้มีแต่ไอเดียเชิ่ดเริ่ดใส่เข้ามาเต็มเรื่อง เข้ากันได้ดีกับยุคสมัย

แม้บทหนังที่อาจจะไม่ได้แปลกใหม่ ไม่มีอะไรยากเกินกว่าจะคาดเดา แต่หลายคนอาจจะไม่คิดไปไกลเกินหนัง เพราะเอาจริงๆ แค่ตามเรื่องก็สนุกสนานพอแล้ว ด้วยกลวิธีการเล่าที่มีมุกเล็กมุกน้อย ชวนอึ้ง ชวนร้องว้าว และชวนให้ติดตาม

ด้านการแสดงนั้น เอมม่า สโตน คือสีสันที่เข้ากันอย่างลงตัวกับความเฟียส ความเป็นเด็กกำพร้าผู้มีปมแค้น ความเป็นหญิงสาวนักออกแบบเสื้อผ้า และรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากสังคม ซึ่งเธอก็ทำออกมาได้ดี ผสมกลมกลืนกันไปกับทุกองค์ประกอบในหนัง

ขณะที่ เอมม่า ท็อมป์สัน ก็กลายเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกันดีกับสโตน เธอสวมบทเป็นเจ้าแม่แฟชันที่ครูเอลล่าเองก็ยังหลงไหลและมองเป็นไอดอล ถึงขนาดดี๊ด๊าอยากได้ร่วมงาน

ครูเอลล่า ขัดแย้งยังไงกับ เดอะบารอนเนส นั้น คุณคงต้องเข้าไปรับชมหนังกันเอาเอง ดูแล้วก็อาจจะรู้สึกว่า งานแบบนี้ดีจนควรได้ดูในโรงหนัง ในห้องมืดๆ จอใหญ่ๆ ระบบเสียงดีๆ ไม่น่าจะอยู่แค่ในจอทีวี..เท่านั้น!

นอกเหนือจากงานโปรดักชั่นของฉาก องค์ประกอบภาพ การจัดแสง การแสดง และคอสตูมแล้ว หนังเรื่องนี้ยังใส่เพลงประกอบมาเต็มอัตราศึก หนังจึงมีคล้ายมิวสิควิดีโอขนาดยาวที่สลับด้วยเรื่องราว เพลงต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นเพลงดังหรือคุ้นหูกันดีในยุคสมัยนั้น รวมๆ กันแล้วก็น่าจะกลายเป็นอัลบั้มรวมฮิตที่น่าฟังได้หนึ่งอัลบั้มล้นๆ เลยเชียวแหละ

นี่คงเป็นใบเบิกทางที่ดีสำหรับภาคต่อที่จะเล่าเรื่องราวของครูเอลล่าหลังเฉิดฉายเป็นนางร้ายลายจุด นางร้ายสายแฟชั่น ที่กำลังจะสร้างตามมา โดยที่ยังไม่รู้กำหนดฉาย

หวังว่า ภาคหน้าจะได้ดูในโรงกันเสียทีนะ

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง