สัปดาห์มีหนังที่อยากดูเรื่องหนึ่งเข้าฉาย ผลงานการแสดงของ วาคีน ฟีนิกซ์ ที่เคยคุ้นในความสามารถด้านการแสดงมาจากหนังหลายๆ เรื่อง ครั้งนี้ เขาสลัดภาพโจ๊กเกอร์มาเป็นลุงของหลานในหนังดราม่าเรื่อง ‘C’mon C’mon’ ซึ่งมีชื่อไทยว่า ‘ลุงครับ รักคืออะไร’ ผลงานจากกำกับของ ไมค์ มิลส์ ผู้มีเครดิตจากหนังอย่าง ’20th Century Women’, ‘Beginners’ และ ‘Thumbsucker’
ข้อมูลจากค่ายหนังบอกกับเราว่า “ในปี 2013 พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยซานฟรานซิสโก ชวนไมค์ มิลส์มาทำงานศิลปะที่ซิลิคอนวัลลีย์ สิ่งที่มิลส์ทำคือการสัมภาษณ์เด็กๆ ซึ่งพ่อแม่ทำงานในบริษัทไอที และถามว่าพวกเขาจินตนาการอนาคตไว้อย่างไรบ้าง” เหตุการณ์นี้แหละมั่งที่กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือมันเป็นหนังขาวดำ ซึ่งเมื่อค้นไปก็พบว่ามันมีที่มาเหมือนกันนะ
เรื่องย่อหนัง C’mon C’mon
เรื่องของเรื่องมันเกิดจาก จอห์นนี่ (Joaquin Phoenix/วาคีน ฟีนิกซ์ จากหนังเรื่อง ‘Joker’, ‘Her’ และ ‘Gladiator’) นักข่าววิทยุบ้างานที่กำลังทำโปรเจกต์ออกเดินทางและสัมภาษณ์คนหนุ่มสาวไปทั่วประเทศ เกี่ยวกับ “ความหวัง” และ “วันพรุ่งนี้” ในระหว่างที่เขาทำงานอยู่ในเมืองดิทรอยด์ เขาก็ได้รับการติดต่อจากคนที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี
เธอคือ วิฟ (Gaby Hoffmann/แกบี ฮอฟฟ์แมน จากหนังเรื่อง ‘Veronica Mars‘ ซีรีส์เรื่อง ‘Girls’ และ ‘Transparent’) น้องสาวที่ช่วงหลังค่อนข้างห่างเหินกัน สาเหตุบางอย่าง เธอขอให้เขาช่วยดูแล เจสซี่ (Woody Norman/วู้ดดี้ นอร์แมน จากหนังเรื่อง ‘The Current War’ และซีรีส์เรื่อง ‘Poldark’) หลานชายวัย 8 ขวบ ที่ค่อนข้างมีบุคลิกเฉพาะตัว
ด้วยงานที่ต้องตะลอนออกไปสัมภาษณ์ตามเมืองต่างๆ ในที่สุด จอห์นนี่ก็พาเจสซี่ร่วมออกเดินทางไปกับเขา ซึ่งระหว่างทาง ลุงและหลานจะได้เรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกัน พร้อมกับค้นหาความหมายของคำว่า “รัก” บนโลกเหงาๆ ใบนี้
รีวิวหนัง ลุงครับ ‘รัก’ คืออะไร
จากวันที่ได้ดูตัวอย่างในโรงหนังวันนั้น ก็รู้สึกแล้ว ว่าน่าจะเป็นหนังที่ชื่นชอบได้ไม่ยาก และน่าจะเป็นหนังที่ตรงกับจริตอยู่ไม่น้อย แม้ตัวอย่างจะค่อนข้างไม่เล่าแบบตรงๆ ว่า เรื่องมันเป็นยังไง พาเข้าใจไขว้เขวนึกว่าเป็นหนังเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้มาอ่านเรื่องย่อจึงเริ่มเข้าใจหนังมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เข้าใจไม่ผิดตั้งแต่แรก ก็คือมันเป็นหนัง ‘ดราม่า’
เป็นหนังดราม่าที่เล่าเรื่องของครอบครัว
มันเป็นหนังดราม่าที่เล่าเรื่องครอบครัวยังไง จุดเริ่มมันคือ การที่จอห์นนี่ได้รับคำขอจากน้องสาวให้ช่วยดูแลเจสซี่หลานชายวัย 8 ขวบให้หน่อย ในระหว่างที่เธอต้องออกไปดูแลสามีที่ป่วยโดยปิดบังความจริงบางอย่างไม่ให้เจสซี่รู้ ขณะที่เจสซี่ก็อยู่ในวัยช่างเจรจา แสนรู้ แถมยังค่อนข้างปั่นหัวผู้ใหญ่ได้เก่ง ซึ่งนั่นทำให้จอห์นนี่ต้องปวดหัวกับการรับมือเด็กน้อยไม่เว้นวาย ขณะเดียวกัน หนังก็เล่าถึงความขัดแย้งระหว่างพี่น้องที่ทำให้เหินห่างจากกัน และภารกิจการดูแลเจสซี่ครั้งนี้นี่แหละที่จะช่วยเปิดโลกและซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยให้กลับคืนดีดังเดิม
ฟังเหมือนนายแพทจะบอกเล่าเสียหมดเปลือก แต่ไม่ใช่หรอก เรื่องราวในหนังมันมีอะไรให้ติดตามมากกว่าที่เล่าไปนี่เยอะเลยแหละ
การรับมือกับเจสซี่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนดูอาจจะรู้สึกว่า เจ้าเด็กคนนี้มันทั้งน่าหมั่นไส้ น่ารำคาญ น่าปวดหัว แต่ก็กลับเป็นลุงจอห์นนี่ที่ได้อะไรจากเจสซี่ไปไม่น้อย พอๆ กับที่เจสซี่ได้จากลุงไปนั่นแหละ ความน่ารักของ Woody Norman ทำให้เราเกลียดน้องไม่ลง แต่ถ้าให้เลือกก็คงขอไม่เจอจะดีกว่า :-P
เรื่องเล่าที่พาเราเดินทางไปยังหลากหลายมุมมอง
เมื่อพระเอกอย่างจอห์นนี่ผู้ที่ตะลอนไปทั่วเพื่อจ่อไมค์สัมภาษณ์หนุ่มสาวด้วยคำถามเรื่องอนาคต แต่ละคนต่างก็แสดงออกถึงความคิดของตนเอง ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจ ฟังไปก็ชวนให้ฉุกคิด ในความรู้สึกของผมนั้น นับว่าเป็นไอเดียที่ชาญฉลาดมากๆ เลย เมื่อตัวเอกต้องออกไปสัมภาษณ์ เขาจึงเปิดให้หนุ่มสาวได้แสดงออก ได้สื่อสารความคิดของพวกเขาที่มีต่อโลก ต่อผู้ใหญ่ ต่อตัวเอง หนังจึงพูดได้ทุกอย่างไม่ได้จำกัดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น แถมความคิดเหล่านั้นก็น่าสนใจมาก จนอยากจะเก็บไว้ดูซ้ำๆ หลายหนเลยจริงๆ
ส่วนเรื่องของลุงกะหลาน ก็ได้แง่คิดไปไม่น้อยเช่นกัน ความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปอย่างธรรมชาติ ระหว่างนั้นก็มีพี่สาวของจอห์นนี่เข้ามามีส่วน ก่อนปรับตัวเข้าหากัน หนังมีผลบางอย่างกับจิตใจระหว่างดู เพราะมันชวนให้ไถ่ถามตัวเอง ว่ายามเราโตเป็นผู้ใหญ่ เราได้ทิ้งบางอย่างตอนเรายังเป็นเด็กไปเสียหมด ชวนให้ลองดึงมันกลับมาบ้าง ทั้งบางส่วนยังช่วยปลอบประโลม สร้างกำลังใจให้กับคนดูได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ความน่าสนใจเมื่อผู้กำกับเลือกจะใช้ภาพขาวดำเล่าเรื่อง
การที่หนังทั้งเรื่องดำเนินไปด้วยการใช้ภาพขาวดำ ทีแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจในที่มาของการเลือกใช้ รับรู้ในระหว่างดูว่า มันก็แปลกดี ต่อเมื่อได้อ่านบทสัมภาษณ์และพบว่า Mike Mills ผู้กำกับเขามองเห็นว่า มันเป็นหนังที่เล่าเรื่องของลุงกับหลานที่เดินทางไปในสถานที่(เมือง)ต่างๆ ความรู้สึกของผู้ชมจึงเหมือนกับกำลังเปิดอ่านนิทานเรื่องหนึ่งอยู่ ด้วยเหตุนี้แหละมั้ง เขาจึงเลือกใช้ภาพขาวดำแทนที่จะใช้ภาพสี
ในระหว่างทาง หนังเต็มไปด้วยคำพูด คำสนทนามากมายที่สามารถจะตัดออกมาเป็นประโยคชวนฉุกคิดได้แทบทั้งหมด ทั้งยังสลับเล่าถึงหนังสือที่จอห์นนี่เปิดอ่าน ซึ่งนั่นก็เต็มไปด้วยแง่มุมที่น่าสนใจเช่นกัน
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ การแสดงที่เป็นธรรมชาติของตัวแสดงหลัก ไม่ว่าจะเป็น Joaquin Phoenix ที่ก็เชื่อได้ในความสามารถจากหลายเรื่องที่ผ่านๆ มา หรือ Woody Norman เด็กชายชาวลอนดอนวัย 11 ขวบที่ต้องเล่นเป็นเด็กอเมริกันวัย 9 ขวบ ทั้งคู่ต่างเล่นกันได้อย่างเป็นธรรมชาติจนเหมือนเป็นลุง-หลานกันจริงๆ หลายช็อตทำเอาขำคิกคัก แต่บางช็อตก็อาจชวนอบอุ่นน้ำตาซึม
เป็นหนังอบอุ่นที่น่าสัมผัสด้วยตัวเองหลายๆ ครั้งเลยครับ
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | C’mon C’mon / ลุงครับ ‘รัก’ คืออะไร |
กำกับ | Mike Mills |
เขียนบท | Mike Mills |
แสดงนำ | Joaquin Phoenix, Gaby Hoffmann, Woody Norman |
แนว/ประเภท | Drama |
เรท | R |
ความยาว | 109 นาที |
ปี | 2021 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 10 มีนาคม 2022 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | A24, Be Funny When You Can |
ลุงครับ 'รัก' คืออะไร
พล็อตและบท - 8.8
การดำเนินเรื่อง - 8.1
การแสดง - 9.1
เพลงและดนตรีประกอบ - 8
งานภาพและโปรดักชัน - 8
8.4
C'mon C'mon
หนังขาวดำที่เล่าออกมาคล้ายนิทานเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือความเป็นธรรมชาติของสองนักแสดงนำ Joaquin Phoenix และ Woody Norman ที่เล่นเป็นลุงหลานที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน บางส่วนชวนคิกคัก แต่บางส่วนก็ปลอบประโลมใจให้คนดูลุกขึ้นมาสู้แม้ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าต้องเจอกับอะไร เป็นหนังอบอุ่นที่น่าสัมผัสด้วยตัวเองหลายๆ ครั้งเลยครับ