อีกครั้งที่นักข่าวถูกบอกเล่าในฐานะตัวละครหลักของหนัง คราวนี้ พวกเขาเป็นนักข่าวภาคสนามที่เข้าไปเก็บภาพในสงครามกลางเมือง ที่การแบ่งแยกดินแดนสร้างมันให้เกิดขึ้น และเหล่านักข่าวต้องขับรถเดินทางไกลเพื่อจะได้ภาพเด็ด แม้การจะได้มันมา ต้องเอาชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม ทั้งหมดถูกบอกเล่าไว้ในหนัง ‘Civil War’ หรือชื่อไทย ‘วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด‘ ที่ผมจะเขึยนถึงในวันนี้นั่นเอง
ความเห็นส่วนตัวของนายแพทเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้
เป็นครั้งแรกที่ A24 สร้างหนังฟอร์มยักษ์ระดับนี้ แถมมันเป็นหนังสงครามที่ฉายในระบบ IMAX ทำให้เสียงตูมตามทำให้หัวใจคนดูเต้นรัว หนังเล่าเรื่องในสไตล์โร้ดมูฟวี่ ผ่านมุมมองของกลุ่มนักข่าวภาคสนามที่ขับรถเดินทางไปเรื่อย ๆ จนถึงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้เราได้เห็นความโหดร้ายและความรุนแรงของการเข่นฆ่ากันเองของคนชาติเดียวกัน พร้อมกันนั้นก็ยังโชว์งานจัดแสงและงานออกแบบภาพสวย ๆ ท่ามกลางไฟสงคราม
หนังมีช่วงท้ายไคลแมกซ์ที่สุดจะเดือดระอุ เสียงปืนดังลั่น เสียงระเบิดดังสนั่น พร้อมกันไปกับการทำงานที่โคตรจะเสี่ยงตายของคนที่เป็นนักข่าวภาคสนาม ยอมรับว่าเป็นอีกครั้งของประสบการณ์การรับชมที่สุดเครียดและเหนื่อยกับความสมจริง จนไม่อยากจะรีบลุก ต้องพักหัวใจเล็กน้อยก่อนเดินออกมา
เรื่องย่อหนัง ‘Civil War’
หนังมันเล่าเรื่องของสหรัฐอเมริกาที่กำลังเดินมาถึงทางตัน เมื่อเกิดกองกำลังที่คิดแบ่งแยกดินแดน สหรัฐอเมริกาที่ยิ่งใหญ่กำลังจะแตกออกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย และกองกำลังตะวันตก หรือ Western Forces ก็กำลังรุกคืบเข้าใกล้ตัวประธานาธิบดี 3 สมัยเข้าไปทุกที
งานนี้ หนังเลือกเดินตามกลุ่มตัวละครนำที่ต่างก็เป็นผู้สื่อขาว ซึ่งนำโดย ลี (Kirsten Dunst จากหนังเรื่อง ‘The Power of the Dog’) ที่ทำงานร่วมกับ โจล (Wagner Moura จากหนังเรื่อง ‘The Gray Man’) โดย แชมมี่ (Stephen McKinley Henderson จากหนังเรื่อง ‘Dune: Part One’) นักข่าวมือเก๋าร่วมเดินทางไปด้วย แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้น เพราะยังสาวน้อย เจสซี่ (Cailee Spaeny จากหนังเรื่อง ‘On the Basis of Sex’) ที่ชื่นชมในตัวลีอย่างจริงจัง ขออาสาร่วมทางไปด้วย
รีวิวหนัง ‘วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด’
เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกับ Alex Garland คนที่เขียนบท ’28 Days Later’ และเป็นคนที่ทั้งเขียนและกำกับหนังอย่าง ‘Ex Machina’ และ ‘Annihilation’ อย่างน้อยถ้าเคยผ่านตามาบ้าง น่าจะมองออกว่า เขาคนนี้เขามีฝีมือมากพอตัวทีเดียว
สงครามโลกอาจถูกหยิบยกมาบอกเล่าในหนังอยู่เนือง ๆ แต่นั่นคือการบอกเล่าในสิ่งที่เกิดขึ้นจริงผสมกับจินตนาการ แต่ครั้งนี้ จะเป็นจินตนาการแบบล้วน ๆ โดยที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริง ว่าหากสหรัฐเกิดเหตุก่อการกบฎขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งลุกลามกลายเป็นการแบ่งแยกดินแดน สงครามกลางเมืองย่อมเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ แต่พื้นที่สุดท้ายและพื้นที่สำคัญ ยังคงเป็น วอชิงตัน ดี.ซี.
อเล็กซ์ การ์แลนด์ เลือกที่จะเล่าเรื่องสงครามผ่านมุมมองของกลุ่มตัวละครที่ล้วนเป็นนักข่าวภาคสนาม พวกเขารวมตัวกันอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะนั่งรถที่แปะทั้งกระโปรงหน้าและประตูด้านข้างว่า ‘PRESS’ เพื่อเก็บภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พวกเขาพบเห็น เดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมือง พบเจอกับเหตุการณ์หลายอย่างที่ล้วนเสี่ยงอันตราย และคงเป็นเพราะนักข่าวเป็นอาชีพที่แทรกตัวอยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด มันจึงเหมาะเหม็งที่จะหยิบมานำเสนอในภาพยนตร์
ในที่นี้ เขาสร้างให้มีตัวละครเป็นหญิงสาวหน้าใหม่ที่มีจิตใจรักการเก็บภาพเหตุการณ์ แต่ยังด้อยประสบการณ์ ซึ่งก็เป็นเสมือนหนึ่งตัวแทนคนดูที่ล้วนไม่เคยต้องไปอยู่ในสงครามกลางเมืองแบบใกล้ชิดมาก่อน ทำให้คนดูได้เรียนรู้ชีวิต ความยากลำบากในแง่การทำงาน เช่นเดียวกับด้านจิตใจที่ต้องแข็งแกร่งและละทิ้งซึ่งบางอย่างไป โดยมีตัวละครอีกคนเป็นนักข่าวหญิงที่ประสบการณ์โชกโชน เดินทางไปพร้อมนักข่าวหนุ่มคู่หู และนักข่าวมือเก๋าผู้ที่สังขารร่วงโรย
หนังที่เดินเรื่องในสไตล์ Road Movie เรื่องนี้ ทำให้เรามองเห็นมุมมองต่าง ๆ ในชีวิตการเป็นนักข่าวสงครามกลางเมืองได้เป็นอย่างดี
Taglines: Welcome to the frontline
สิ่งที่สัมผัสได้จากหนังเรื่องนี้ ก็คือ การเล่าที่ชวนให้รู้สึกถึงความสมจริง เหมือนพาผู้ชมไปอยู่ในเหตุการณ์ ผู้ชมจะสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัว ลุ้นกันตัวโก่ง ว่านักข่าวจะรอดไหมเมื่อเอาตัวเองไปกลางห่ากระสุนเช่นนั้น ทั้งยังได้เห็นภาพการตายกันจะ ๆ บางช็อตชวนสลดใจ แต่บางช็อตก็พรั่นสะพรึง ระบบเสียงที่อึกทึกครึกโครมของแต่ละฉากแอ็คชันผ่านจอยักษ์ของ IMAX ทั้งเสียงปืน เสียงระเบิด พาผู้ชมให้หายใจไม่ทั่วท้อง
แต่ถึงอย่างนั้น หนังก็ยังมีผ่อนให้พวกเราได้นั่งชมงานภาพสวย ๆ แสงงาม ๆ ดนตรีเพราะ ๆ แม้ว่านั่นจะเป็นภาพของการทำลายล้างก็ตามที จนบางทีก็คิดในใจ ภาพจะสวยไปไหน นี่มันหนังสงครามกลางเมืองไม่ใช่เรอะ!?
ในช่วงที่บางคนอาจหลุดเข้าสู่ภวังค์ หนังก็พาเรากลับมาด้วยเสียงปืนดังลั่น พาเอาสะดุ้งโหยงไปตาม ๆ กัน
เอาเข้าจริง มันสามารถเป็นหนังแอนตี้สงครามและความรุนแรงได้เลย โดยไม่ต้องมีบทพูดหรือบทบรรยายใด ๆ สงครามที่นำมาซึ่งความแตกแยก จิตใจคนที่ตกต่ำ เมื่อมีอาวุธในมือก็สามารถเข่นฆ่าใครก็ได้ที่เขามองว่าไม่ใช่พวกตัวเอง มีแต่ภาพของความโหดร้าย การเข่นฆ่าชีวิตของผู้ที่อยู่คนละฝั่ง นอกจากนี้ มันยังทำให้เราได้เห็นมุมมองของคนที่เป็นนักข่าวภาคสนาม แต่ละภาพ แต่ละช็อต ที่กว่าจะได้ภาพดี ๆ มา ต้องกดชัตเตอร์ไปไม่รู้กี่พันครั้ง เสี่ยงอันตรายไปไม่รู้กี่ร้อยหน สูญเสียใครไปมากมายที่ไม่อาจย้อนกลับมาสร้างชื่อได้อีก ทั้งต้องเอาชนะความกลัวที่เกิดขึ้นในใจให้ได้ ไม่งั้นก็อาจไม่ได้ภาพที่ผู้คนควรได้เห็น
ชอบมากมายในหลายจุด ไม่เว้นแม้แต่จุดสุดท้ายที่ใส่ไอเดียของงานภาพเข้ามา แม้ไม่มีฉากแถม แต่เราก็นั่งดูจนตัวหนังสือตัวสุดท้าย
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Civil War / วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด |
กำกับ | Alex Garland |
เขียนบท | Alex Garland |
แสดงนำ | Cailee Spaeny, Kirsten Dunst, Wagner Moura, Stephen McKinley Henderson, |
แนว/ประเภท | แอ็คชั่น |
เรท | R |
ความยาว | 109 นาที |
ปี | 2024 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร |
เข้าฉายในไทย | 11 เมษายน 2024 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | A24, DNA Films, IPR.VC, M Studio |
คะแนนรีวิวหนัง วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด
พล็อตและบท - 8.5
การแสดง - 8.5
การดำเนินเรื่อง - 9
เพลงและดนตรีประกอบ - 8.5
งานภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชั่น - 9
8.7
Civil War
เป็นครั้งแรกที่ A24 สร้างหนังฟอร์มยักษ์ระดับนี้ แถมมันเป็นหนังสงครามที่ฉายในระบบ IMAX ทำให้เสียงตูมตามทำให้หัวใจคนดูเต้นรัว หนังเล่าเรื่องในสไตล์โร้ดมูฟวี่ ผ่านมุมมองของกลุ่มนักข่าวภาคสนามที่ขับรถเดินทางไปเรื่อย ๆ จนถึงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้เราได้เห็นความโหดร้ายและความรุนแรงของการเข่นฆ่ากันเองของคนชาติเดียวกัน พร้อมกันนั้นก็ยังโชว์งานจัดแสงและงานออกแบบภาพสวย ๆ ท่ามกลางไฟสงคราม หนังมีช่วงท้ายไคลแมกซ์ที่สุดจะเดือดระอุ เสียงปืนดังลั่น เสียงระเบิดดังสนั่น พร้อมกันไปกับการทำงานที่โคตรจะเสี่ยงตายของคนที่เป็นนักข่าวภาคสนาม ยอมรับว่าเป็นอีกครั้งของประสบการณ์การรับชมที่สุดเครียดและเหนื่อยกับความสมจริง จนไม่อยากจะรีบลุก ต้องพักหัวใจเล็กน้อยก่อนเดินออกมา