ทรานสฟอร์เมอร์ส เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากของเล่นและการ์ตูน มีมา 5 ภาค จนเรียกว่าแฟรนไชซ์ จักรวาล หรืออะไรแบบนั้นได้แล้วล่ะ แต่ก็เหมือนยิ่งสร้าง นักวิจารณ์หนังจะยิ่งบ่นขึ้นทุกที รายได้ก็เริ่มจะมีแนวโน้มไม่เปรี้ยง เรื่องราวก็ชักไปต่อได้ยากขึ้นทุกที ด้วยเหตุนี้กระมัง ต้นสังกัดจึงคิดจะเริ่มใหม่ จนกลายมาเป็น ‘Bumblebee’ ที่ชื่อไทยตามตัวเป๊ะๆ ‘บัมเบิ้ลบี’ นั่นเอง
บางคนจะเรียกว่าเป็น Spin-off แต่บ้างก็เรียกมันว่า Reboot ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ เท่าที่ดูมันเหมือนกับเป็นการเล่าย้อนอีกครั้งถึง
จุดเริ่มของการมายังโลกมนุษย์ของชาวดาวไซเบอร์ทรอนนั่นเอง
เรื่องย่อหนัง ‘Bumblebee’
ถึงเวลาเล่าย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นก่อนการมาเยือนโลกมนุษย์ของเหล่าเอเลี่ยนที่มีร่างกายเป็นหุ่นยนต์ และบัมเบิ้ลบีก็เป็นต่างดาวตัวแรกที่มาเยือนเรา มันกลายร่างเป็นรถเต่าโฟล์กสวาเกนคันสีเหลืองโทรมๆ ซ่อนตัวอยู่ จนวันที่มนุษย์สาวคนหนึ่งมาพบเข้า
ชาร์ลี วัตสัน (Hailee Steinfeld) คือสาวน้อยคนนั้น เธออยู่ในครอบครัวระดับปานกลาง สูญเสียพ่อไป และแม่ก็กำลังมีความสุขกับสามีคนใหม่ ของขวัญวันเกิดที่อยากได้กลับไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนา เธอรักในการซ่อมเครื่องยนต์และอยากจะมีรถของตัวเองสักคัน
จนในที่สุด รถเต่าเหลืองคันนั้นก็ได้เป็นของเธอ
แต่ในที่สุด ก็ได้พบว่า มันหาใช่แค่รถโฟล์กเต่าคันซอมซ่อธรรมดาๆ เพราะมันคือหุ่นยักษ์จากต่างดาวที่มาโลกเพื่อภารกิจบางอย่าง ความผูกพันระหว่างมนุษย์กับเอเลี่ยนหุ่นยนต์และสงครามที่มันลากมายังโลก
กลับสู่จุดเริ่มอีกครั้ง บัมเบิ้ลบี!
รีวิวหนัง ‘Bumblebee’
เรื่องราวในหนังภาคนี้ เหมือนย้อนกลับไปยังวันแรกอีกครั้ง เล่าเรื่องเหตุผลที่บัมเบิ้ลบีต้องเป็นหุ่นตัวแรกที่มายังโลก สงครามที่นั่นระหว่างสองฟากฝั่ง ออโต้บ็อท และดีเซ็ปติคอน ที่ฝ่ายแรกกำลังเพลี่ยงพล้ำ แต่ก็ส่งผลให้หุ่นสีเหลืองได้เป็นเพื่อนกับมนุษย์โลก จาก ‘Transformers’ ภาคแรกที่ตัวเอกเป็นผู้ชาย คราวนี้เปลี่ยนไปใช้ตัวเอกเป็นผู้หญิงบ้าง
ซึ่งน่าจะทำให้คนเข้าถึงอารมณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตสองเผ่าพันธุ์จากคนละดาวได้อย่างอินลึกซึ้งขึ้น
ชาลี วัตสัน เด็กสาวในช่วงยุค 90’s ที่ทุกอย่างดูเก่าไปสำหรับปัจจุบันนี้ หนังก็เลยสร้างให้ทุกอย่างดูเก่าไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยเพลงยุคนั้น รถราที่ดูไม่ทันสมัยแบบในยุคนี้ ใช้วิทยุ ใช้เทป และแผ่นเสียง รวมไปถึงเทคโนโลยีการสื่อสารด้วย
หนังให้เวลากับความสัมพันธ์ของชาร์ลีและบัมเบิ้ลบีค่อนข้างมาก เรียกได้ว่า เวลาสองในสามของหนังแทบจะทุ่มไปที่เรื่องราวของมนุษย์กับหุ่นยนต์ ทำให้รู้จักเหตุผลของการไม่สามารถพูดได้ของเจ้าหุ่นเหลือง และจุดเริ่มต้นที่ทำให้ใช้เสียงวิทยุเพื่อสื่อสารความคิด
ตรงนี้ต้องยกประโยชน์ให้กับเฮลีย์ที่สวมบทบาทออกมาได้ดี ทำให้คนดูได้อินไปกับความสัมพันธ์ แล้วเมื่อมันเดินทางมาถึงจุดสุดท้าย คนดูก็จะได้รู้สึกเหมือนเป็นนางเอกจริงๆ
หลายคนเสียน้ำตาให้กับเรื่องราวในหนังได้จริงๆ
ถ้าตอนนี้ คงไม่ได้ไปนั่งดูหนังด้วยตัวเองก็อาจจะมีคำถามสงสัยอะไรไปต่างๆ นานา ว่าทำไมหุ่นตัวนี้ถือต้องเป็นรถเต่า ทำไมรูปร่างมันไม่ใหญ่โตและดูเป็นหุ่นกระป๋องจนแตกต่างจากบัมเบิ้ลบีที่เห็นใน 5 ภาคเก่าก่อน
ข้อมูลหลายๆ อย่างวางอยู่ในหนังครับ
แน่นอนว่า เรารู้ว่าทุกอย่างในหนังคือจินตนาการ แถมยังเป็นจินตนาการของเด็กผสมผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างในโลกของหนังจะสมเหตุสมผลไปซะทุกอย่าง อาจมีบางช็อตที่ชวนสงสัยว่าคนเขียนบทอาจหลงลืมอะไรไป
ถ้าจะถามว่า ชอบอะไรในการเริ่มต้นใหม่ของชาวดาวไซเบอร์ทรอนภาคนี้ ก็คงตอบได้ว่า…
- ชอบนางเอก Hailee Steinfeld เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หน้าหวาน หุ่นน่ารัก ร้องเพลงเพราะ แสดงอารมณ์ได้ดี มองเห็นความรักที่มีให้กับบัมเบิ้ลบีได้ชัดเจน แม้ว่าจะยังได้แค่น้ำตาซึมๆ ก็ตาม
- การวางเรื่องให้อยู่ในยุควินเทจ เพลงเก่าๆ มาเต็ม นับรวมไปถึงสภาพบ้านเมือง สิ่งของ และรายละเอียดต่างๆ ที่ถือว่าทำออกมาได้ดี ดูหนังแล้วนึกถึงยุคสมัยก่อนๆ ที่เคยคุ้นมาตอนเด็กๆ
- เติมเต็มเล่ารายละเอียดของเหตุการณ์และเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมข้อมูลของเรื่องราวของเหล่าออโต้บ็อทและดิเซ็ปติคอน เพื่อเป็นบันไดสู่การเล่าใหม่อีกครั้งหากจะมีในภาคต่อๆ ไป
ชื่อภาพยนตร์: Bumblebee / บัมเบิ้ลบี
ผู้กำกับภาพยนตร์: Travis Knight
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Christina Hodson
นักแสดงนำ: Hailee Steinfeld, Dylan O’Brien, Megyn Price, John Cena
ความยาว: 114 นาที
ปี: 2018
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Sci-Fi
อัตราส่วนภาพ: 1.85 : 1
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
เรท: ไทย/น13+, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 20 ธันวาคม 2561
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Allspark Pictures,Bay Films,Di Bonaventura Pictures
บัมเบิ้ลบี
Bumblebee - 8
8
Bumblebee
ชอบนางเอกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หน้าหวาน หุ่นน่ารัก ร้องเพลงเพราะ แสดงอารมณ์ได้ดี มองเห็นความรักที่มีให้กับบัมเบิ้ลบีได้ชัดเจน แม้ว่าจะยังได้แค่น้ำตาซึมๆ ก็ตาม การวางเรื่องให้อยู่ในยุควินเทจ เพลงเก่าๆ มาเต็ม นับรวมไปถึงสภาพบ้านเมือง สิ่งของ และรายละเอียดต่างๆ ที่ถือว่าทำออกมาได้ดี ดูหนังแล้วนึกถึงยุคสมัยก่อนๆ ที่เคยคุ้นมาตอนเด็กๆ เติมเต็มเล่ารายละเอียดของเหตุการณ์และเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมข้อมูลของเรื่องราวของเหล่าออโต้บ็อทและดิเซ็ปติคอน เพื่อเป็นบันไดสู่การเล่าใหม่อีกครั้งหากจะมีในภาคต่อๆ ไป