สัปดาห์นี้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่โรงหนังจะดึงหนังที่มีชื่อเข้าชิงออสการ์มาฉายในโรงอีกครั้ง แต่ก็มีหนังบางเรื่องที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ฉายในโรงบ้านเรามาก่อน และมันก็เข้ามาในช่วงก่อนถึงวันประกาศผลรางวัลออสการ์อย่างพอดิบพอดี หนังเรื่องนั้นคือ ‘Belfast’ ผลงานการกำกับและเขียนบทของผู้กำกับและนักแสดงเลื่องชื่ออย่าง Kenneth Branagh/เคนเนธ บรานาห์
มันเป็นหนังแนว Biography และ History มันจึงเล่าเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ทั้งมันยังเป็นหนังในแนว Drama ด้วยเพราะมันเล่าเรื่องราวชีวิตของครอบครัวๆ หนึ่งที่เคยอยู่ท่ามกลางอะไรหลายๆ อย่างในยุคสมัยนั้น เอาเข้าจริง มันเป็นหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากชีวิตวัยเด็กของผู้กำกับเองนั่นแหละ
ไปค้นประวัติดู พ่อของบรานาห์เป็นช่างไม้จริงๆ ด้วยครับ
เรื่องย่อหนัง ‘Belfast’
บัดดี้ (Jude Hill หนูน้อยจากซีรีส์ ‘Magpie Murders’) เด็กน้อยที่เติบโตอยู่ท่ามกลางชุมชนแสนสุขในเมืองชื่อเบลฟาสต์ เขามีแม่ (Caitriona Balfe จากหนังเรื่อง ‘Ford v Ferrari’, ‘Escape Plan’ และซีรีส์เรื่อง ‘Outlander’) ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ชีวิตในบ้าน นอกเหนือจากแม่ก็มีวิลล์ (Lewis McAskie) พี่ชาย ส่วนพ่อ (Jamie Dornan จากหนังเรื่อง ‘Endings, Beginnings’, ‘Robin Hood’ และ ‘Fifty Shades of Grey’) ของเขาน่ะเหรอ สองอาทิตย์จะกลับมาบ้านสักที เพราะทำงานเป็นช่างไม้อยู่ต่างเมือง
ชีวิตของบัดดี้ นอกจากจะขลุกอยู่กับเพื่อนในละแวกเดียวกันแล้ว ก็ยังมีผู้ใหญ่อยู่ในบ้านด้วย ทั้งคุณปู่ที่เจ็บออดๆ แอดๆ และคุณย่า (Judi Dench จากหนังเรื่อง ‘Skyfall’, ‘Victoria & Abdul’ และ ‘My Week with Marilyn’) ที่แสนใจดี
แต่เบลฟาสต์ของหนูน้อยบัดดี้กำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อเกิดเหตุสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างของนิกายศาสนา ทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยง พร้อมด้วยภาระต่างๆ หลายคนในย่านนี้ก็เริ่มย้ายออกไปกันบ้างแล้ว สมาชิกในครอบครัวนี้ก็เริ่มคิดเรื่องย้ายอยู่เหมือนกัน
รีวิวหนัง ‘เบลฟาสต์’
เบลฟาสต์เมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือ เป็นบ้านเกิดของ Kenneth Branagh ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเหมือนจดหมายรักถึงบ้านเกิดของเขานั่นเอง มันอาจเป็นเมืองที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก มักไม่ค่อยมีใครเล่าถึง
ช่วงเวลานั้น ความแตกต่างระหว่างศาสนาคริสต์สองนิกายอย่าง คาทอลิก และ โปรเตสแตนต์ กำลังคุกรุ่นและกลายเป็นปัญหาความขัดแย้ง นำมาซึ่งความรุนแรง กลายเป็นสงครามกลางเมือง ความสุขสงบของเบลฟาสต์จึงแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับความสุขของบัดดี้ในเรื่องนี้
แม้แต่คนที่นับถือศาสนาเดียวกัน ต่างแค่นิกาย ก็ยังขัดแย้งกันได้ ศาสนาสอนให้กลายเป็นคนรุนแรงอย่างนั้นรึ? แต่ที่แน่ๆ ความขัดแย้งและความรุนแรงไปรบกวนความสุขสงบของคนในหลายครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวของบัดดี้
หนังใช้วิธีการเล่าแบบ เริ่มต้นเรื่องด้วยภาพสีของสภาพเมืองในปัจจุบัน ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ภาพขาวดำเมื่อเวลาย้อนไปยังมี 1969 หนังอาจเรื่องสงครามกลางเมืองเพียงผิวๆ เพราะต้องการเน้นเล่าเรื่องภายในครอบครัวๆ หนึ่งมากกว่า จึงมีทั้งเรื่องเครียดๆ ของพวกผู้ใหญ่ สลับไปกับเรื่องน่ารักของเด็กๆ
ซึ่งในจุดนี้ต้องบอกว่า Jude Hill คือรอยยิ้มของหนัง
บัดดี้ยังเป็นเด็กน้อย เขาจึงยังสนุกอยู่กับสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต เข้าเรียน ทำการบ้าน จีบผู้หญิง อยู่บ้านก็ได้รับความรักจากทุกคนในครอบครัว เป็นเด็กที่ชอบดูหนัง มีความสุขกับหนังในโรงและละครเวทีที่พ่อพาเข้าไปดู มีความสุขอยู่กับการถือฝาถังขยะกับดาบเล่มหนึ่งแล้วสมมติตัวเองเป็นอัศวิน ทำให้เรามองเห็นว่า ในช่วงเวลาที่ภายนอกบ้านดูมืดมน ภายในบ้านยังคงอบอุ่นอยู่
พวกเขาที่ยังอยู่ในวัยเด็ก ยังเห็นโลกมาไม่มากไม่มายนัก จึงก้าวไปข้างหน้าด้วยความหวัง ขณะที่รุ่นพ่อแม่ที่ยังง่วนอยู่กับการหาเงินและเลี้ยงลูก เมื่อเห็นว่าภัยร้ายจากสงครามกลางเมืองกำลังคุกคามครอบครัว จึงเริ่มมองเห็นหนทางในการย้ายหนี ฝั่งฝ่ายคนรุ่นปู่รุ่นย่า ก็ดูเหมือนคนปักหลัก ยึดติดกับพื้นที่ที่ตัวเองอยู่มา จึงไม่รู้สึกอยากจะย้ายไปไหน
หนังจึงคล้ายบอกเล่าถึงเมืองที่ติดแหง็ก แต่ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นถึงความคิดที่แตกต่างของคนแต่ละช่วงวัย
ในนั้น อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ ทั้งความขัดแย้งทางศาสนา ความรุนแรงของสงครามกลางเมือง ความสุขและทุกข์ที่ระคนเคล้าไปด้วยกัน ทางเลือก การเปลี่ยนแปลง และรวมไปถึงเรื่องของการจากลา
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกแปลกดีก็คือ ภาพหนังที่บัดดี้ได้ดู มันเป็นภาพสี แต่พอตัดมาที่ผู้คนในเมืองก็กลับเป็นขาวดำอีกครั้ง ราวกับจะบ่งบอกว่า พวกเขาดูไร้สีสันชวนหม่นหมองอะไรแบบนั้น
งานภาพอาจดูเหมือนถ่ายทำกันในมุมแคบๆ แค่ช่วงตึกทั้งสามมาประกบกัน จึงอาจดูเหมือนจะมีแต่มุมซ้ำๆ กันไปมา แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งไปกว่าและประทับใจที่สุดนอกเหนือจากการแสดงของ Jude Hill นั่นก็คือ ดนตรีและเพลงประกอบหนังที่โคตรเพราะโคตรแจ๊ส ฟังเพลินทุกเพลงจนน่าจะกลายเป็นอัลบั้มโปรดแห่งปีไปได้ แต่ละเพลงถูกจัดวางลงมาอย่างเหมาะเจาะพอดี เข้ากับยุคสมัยและภาพขาวดำ
เมื่อดูหนังแล้วก็ยังคงเหมือนเดิม ยังคงมองว่าทุกคนควรอาศัยอยู่ด้วยกันได้แม้ต่างศาสนา
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Belfast / เบลฟาสต์ |
กำกับ | Kenneth Branagh |
เขียนบท | Kenneth Branagh |
แสดงนำ | Judi Dench, Jude Hill, Lewis McAskie, Caitriona Balfe, Jamie Dornan, Ciarán Hinds |
แนว/ประเภท | Drama, Biography, History |
เรท | PG-13 |
ความยาว | 98 นาที |
ปี | 2021 |
เข้าฉายในไทย | 31 มีนาคม 2022 ทาง House Samyan, รอบพิเศษวันเสาร์ที่ 26 มีนาคม |
ผลิต/จัดจำหน่าย | TKBC, Focus Features, UIP |
เบลฟาสต์
บทและพล็อต - 8
การดำเนินเรื่อง - 7.3
การแสดง - 8.2
เพลงและดนตรีประกอบ - 8.5
งานภาพและโปรดักชั่น - 7.5
7.9
Belfast
ผลงานระดับเข้าชิง 7 ออสการ์ของ Kenneth Branagh ที่หยิบความทรงจำส่วนตัวมาสร้างเป็นหนังจดหมายรักบ้านเกิด เล่าเรื่องเด็กชายบัดดี้กับครอบครัวอันอบอุ่นท่ามกลางสงครามการเมืองที่เกิดจากการนับถือศาสนาที่ต่างนิกายกัน หนังขาวดำที่จัดวางองค์ประกอบดี เพลงประกอบก็เพราะมาก เล่าเรื่องเครียดสลับไปกับเรื่องน่ารัก ใดๆ น้อง Jude Hill เล่นดีมาก ดีมากจริงๆ