รีวิวหนัง Against the Ice มหันตภัยเยือกแข็ง | เอาตัวรอดในกรีนแลนด์

เวลาชีวิตช่วงนี้ เหมือนผมจะใช้ไปกับซีรีส์เกาหลีเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ครุ่นคิดว่า น่าจะหยิบหนังสักเรื่องมาเขียนถึงบ้าง แล้วก็ได้ไปพบกับหนังเรื่องหนึ่งที่อยู่ใน Netflix อาจไม่ใช่หนังที่โดดเด่นนัก แต่ก็เป็นหนังที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินน้ำแข็งอย่างกรีนแลนด์ ทัศนียภาพที่แตกต่างจากเขตใกล้เส้นศูนย์สูตรมากเหลือเกิน จนรู้สึกอยากจะเปิดดู วันนี้ ผมจะมาบอกเล่าเรื่องหนัง ‘Against the Ice’ กันครับ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าขึ้นมาจากเรื่องจริง โดยดัดแปลงจากหนังสือชื่อ ‘Two Against the Ice’ ของ Ejnar Mikkelsen ที่ก็คือหนึ่งในตัวละครนำของหนังเรื่องนี้ ดัดแปลงเป็นบทหนังโดย Nikolaj Coster-Waldau ร่วมกับ Joe Derrick และได้ Peter Flinth เข้ามารับหน้าที่ผู้กำกับ

และทุกคนสามารถรับชมได้ทางเน็ตฟลิกซ์เท่านั้น

เรื่องย่อหนัง ‘Against the Ice’

มันเป็นเรื่องของคนสองคนที่เอาตัวเองเข้าไปผจญภัยท่ามกลางบรรยากาศเยือกแข็งบนแผ่นดินกรีนแลนด์ หนึ่งในนั้น เป็น Ejnar Mikkelsen (Nikolaj Coster-Waldau จากหนังเรื่อง ‘Gods of Egypt’, ‘Oblivion’ และซีรีส์เรื่อง ‘Game of Thrones’) กัปตันเรืออะลาบาม่า ที่มีจุดประสงค์อันแน่วแน่ ที่จะไปตามหาเพื่อนรักผู้สูญหายไปในระหว่างการสำรวจของทีมสำรวจเดนมาร์ก อีกส่วนหนึ่งเป็นความพยายามที่จะหักล้างการถือครองพื้นที่กรีนแลนด์ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมรกิา

หลังประกาศเจตจำนง มีเพียงคนเดียวที่อาสาจะเดินทางไปด้วยกัน

ช่างเครื่องยนต์อย่าง Iver Iversen (Joe Cole จากหนังเรื่อง ‘A Prayer Before Dawn’ และซีรีส์เรื่อง ‘Peaky Blinders’) เป็นคนๆ นั้น

เขาทั้งสองจึงเริ่มออกเดินทางไปด้วยกันเพื่อตามหากองหินและบันทึกที่ถูกทิ้งไว้ ผ่านสภาพอากาศและภูมิประเทศที่โหดร้าย และกลับมาให้ทันเวลาที่น้ำแข็งละลาย

รีวิวหนัง ‘มหันตภัยเยือกแข็ง’

เรื่องราวที่ย้อนกลับไปถึงปี ค.ศ.1909 กับการบอกเล่าความสัมพันธ์คร่าวๆ ของคนที่อยู่ด้วยกันบนเรือ Alabama ก่อนที่กัปตันเอ็จนาร์จะออกปากชวนและถามไถ่ว่าใครจะไปกับเขาบ้าง ก่อนจะพบว่า มีเพียงช่างเครื่องที่เพิ่งขึ้นเรือมาด้วยที่ยกมือขันอาสา เขาเป็นคนที่กำลังทำความคุ้นเคยกับการดูแลบังคับสุนัขลากเลื่อน และตัดสินใจร่วมขนเสบียงขึ้นเลื่อนและควบคุมสุนัขเพื่อร่วมเดินทางไปด้วย ทั้งๆ ที่มันเป็นการเดินทางบนแผ่นดินอาร์กติกครั้งแรก

เอาเข้าจริง เรื่องราวมันค่อนข้างเรื่อยเอื่อย พร้อมๆ กันกับภาพบรรยากาศที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะขาวโพลน ไม่ว่าจะถ่ายช็อตไหนก็ดูสวยงามแปลกตาไปหมด สร้างความเพลิดเพลินได้ประมาณหนึ่ง เหมือนนั่งมองดูการผจญภัยของผู้ชายสองคนบนเส้นทางที่สวยงามแต่แฝงไว้ด้วยอันตราย

ได้เห็นภาพความรู้สึกของตัวเราเองที่มีต่อสุนัขลากเลื่อน พวกมันมีทั้งแง่มุมความน่ารักตามประสาสุนัขทั่วไป แต่อีกด้าน เราก็มองเห็นพวกมันต้องลำบากออกแรงลากเลื่อน เผชิญความหนาวเหน็บ บ้างก็ต้องสังเวยชีวิตเพื่อความอยู่รอดของเพื่อนสุนัข และการเดินทางครั้งนั้น ก็อาจเป็นครั้งสุดท้ายของพวกมัน

ท่ามกลางสภาพอากาศที่อันตราย การเดินทางย่อมเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นทุกเมื่อ และหนังก็ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้บอกเล่า ซึ่งก็ทำให้มันไม่เรื่อยเอื่อยมากจนเกินไป

ทีแรก เราก็นึกว่า หนังจะเล่าเฉพาะการเดินทางท่ามกลางหิมะขาวโพลนของคนทั้งสองเท่านั้น ปรากฏว่า หนังยังมีอีกส่วนที่เล่าถึงการเอาชีวิตรอดท่ามกลางความเงียบงันของการถูกทิ้งให้อยู่โดยไม่รู้ชะตากรรม การรอคอยความช่วยเหลือ และที่สำคัญ คือ การต่อสู้กับภายในจิตใจของพวกเขาเอง

ครึ่งแรกและครึ่งหลังจึงเป็นการเล่าถึงการเอาชีวิตรอดในแบบที่แตกต่างกัน

ชื่อไทยของหนังอาจพาคนดูออกไปจากสิ่งที่หนังเป็นพอสมควร แต่ถึงยังไง มันคือหนังที่เล่าจากเรื่องจริงที่อาจผ่านการเติมแต่งบ้างโดยที่เราไม่รู้ เป็นหนังผจญภัยที่มีดราม่าปะปน ความดีของมันคือการได้มองเห็นทัศนียภาพของไอซ์แลนด์ ดินแดนที่ชีวิตนี้ทั้งชีวิตคงไม่ได้ไปเยือน รอบด้านเป็นหิมะและน้ำแข็ง มีสัตว์ที่เคยเห็นแต่ในหนังสารคดีอย่าง แมวน้ำและหมีขั้วโลก สิ่งนี้แหละที่ดึงดูดให้กดเข้าไปดู

นอกนั้น ก็คงเป็นการเดินทางที่อันตราย ตัวละครอาจไม่รอดกลับมาได้ทุกเมื่อ แถมเมื่อรอดกลับมาแต่กลับต้องเจอกับความสิ้นหวัง แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ต่อด้วยความหวัง ซึ่งในหนังก็บอกอยู่ว่ามันคืออะไร

เรื่องราวมันไม่ได้ตื่นเต้นมากนักแต่ก็พอให้นั่งดูต่อไปจนจบได้

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง