รีวิวหนัง 4 Kings 2 | บอกเล่าบทเรียนจากความคึกคะนอง หาใช่แค่เรื่องเด็กช่างตีกัน

หลังจากสร้างปรากฏการณ์ กวาดรายได้ไปถึง 170 ล้านในภาคแรก ภาพยนตร์ไทยจากเนรมิตรหนังฟิล์มที่ว่าด้วยเรื่องของเหล่าวัยรุ่นสายอาชีวะที่ใช้ความรุนแรง ความคึกคะนองและความบ้าระห่ำ จนได้พบเจอกับบทเรียนที่สำคัญของชีวิต ความสำเร็จในภาคแรก ได้รับการสานต่อสู่ภาคต่อมาที่ใช้ชื่อว่า ‘4 Kings 2’

ความคิดเห็นส่วนตัวของนายแพท

ต่อเนื่องมาจากภาคแรก การเล่าเรื่องอาจแตกต่างไปบ้าง แต่ใจความของหนังยังคงไม่ต่าง เมื่อดูจากคนที่อยู่ภายนอก มองไม่เห็นต้นตอที่แน่ชัดของความรุนแรงในแวดวงเด็กช่าง แต่ที่เห็นชัดกว่า คือทุกการกระทำย่อมมีผลติดตามมา และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่หนังเล่าถึงผลกรรมของเด็กช่าง การตีกันเพราะสีเสื้อช็อป ส่งผลอะไรให้เกิดขึ้นตามมาบ้าง หนังเล่าอย่างมีแง่มุม บอกสิ่งที่เด็กช่างทุกคนต้องเผชิญ และพวกเขาต่างต้องรับและอยู่กับผลของการกระทำนั้น

ภาคนี้ คนที่มีบทและแสดงได้โดดเด่น ก็ไม่พ้น บิ๊ก D Gerrard กับบทยาทผู้บ้าคลั่ง และ ทราย เจริญปุระ พี่สาวที่กลายเป็น MVP ของหนังไปเลย

เรื่องย่อหนัง ‘4 Kings 2’

แม้ดาจะจากไป แต่ความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อยังคงไม่มีทางหยุด การตีกันของเหล่าเด็กอาชีวะต่างสถาบันทั้งสี่ยังคงดำเนินต่อ หนังไทยภาคนี้ ยังคงติดตามเรื่องราวของเหล่าเด็กกนกอย่าง บ่าง (สมพล รุ่งพาณิชย์ หรือ แหลม อดีตนักร้องนำวง 25 Hours), ตุ้มเม้ง (ทศพล หมายสุข), เค (ภัทร เอกแสงกุล) และ หนุ่ย (ณัฐวุฒิ เจนมานะ) ที่ยังคงมีเรื่องต่อยตีกับคู่อริอย่างพวกเด็กบู บุรณพนธ์ ที่ประกอบไปด้วยรก (สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร), เอก (สิราษฎร์ อินทรโชติ) และเค (เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี)

ผลของการต่อยตีครั้งนี้ ทำให้ตุ้มเม้งต้องเกือบเอาชีวิตไม่รอด เคราะห์ยังดีที่เขาสูญเสียแค่มือหนึ่งข้าง แต่ก็ทำให้เด็กกนกคอยหาเรื่องแก้แค้นเด็กบูเรื่อยมา

ทั้งๆ ที่สาเหตุของความขัดแย้งและการแก้แค้นกันไปกันมาของนักศึกษา 2 สถาบันนี้ คือ ยาท เด็กบ้าน (บิ๊ก D Gerrard) ชายหนุ่มผู้มีบุคลิกบ้าระห่ำ เดาทางได้ยาก ที่ตอนนี้ต้องใช้ชีวิตด้วยการค้ายา เป็นลูกน้องของเสี่ยใหญ่ และต้องคอยดูแลคุณตาที่พิการ

รีวิวหนัง ‘4 Kings II’

จากภาคแรก ผู้กำกับเอาเด็กจาก 3 สถาบันที่ไม่ถูกกันเพราะเรียนกันคนละสีเสื้อมาสานสัมพันธ์ในบ้านเมตตา ก่อนจะปิดท้ายด้วยหนึ่งความตายจากกระสุนปืนจากคนต่างสถาบัน เผยให้เราได้มองเห็นน้ำตาของผู้เป็นแม่ถึงสองคน พร้อบทเรียนชีวิตที่เด็กอาชีวะบางคนจะได้รับ หนังที่เล่าถึงชีวิตวัยรุ่นของเหล่าเด็กอาชีวะ ที่วนเวียนอยู่กับเรื่องดนตรี สถาบัน ความรัก และครอบครัว พยายามจะบอกเล่าถึงสาเหตุของความรุนแรงระหว่างเด็กต่างสถาบัน ที่ดูไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า แค่ค่านิยมเสพติดสีเสื้อ พฤติกรรมที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น

แถมในเล่าไปถึงพฤติกรรมท้องในวัยเรียน เมื่อบวกกับพฤติกรรมไร้ความยั้งคิดของพวกเขา กลายเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมเลือน

มาภาคนี้ พุฒิพงษ์ นาคทอง ผู้กำกับยังคงบอกเล่าเรื่องราวของเหล่าเด็กช่างจากสถาบันเดิมที่อาจเปลี่ยนหน้าไปบ้าง แต่จะเน้นเล่าเรื่องโดยมีเหล่าเด็กกนกอาชีวะเป็นตัวหลัก ที่ก่อเหตุวิวาทกับเด็กบุรณพนธ์จนเป็นเหตุให้เพื่อนตัวเองต้องไม่ตายแต่ก็ต้องเสียมือไปข้างหนึ่ง จนเกิดความแค้นคิดเอาคืนเด็กบุรณพนธ์ โดยที่เด็กกนกไม่รู้เลยว่า คนที่สร้างเหตุนั้นคือ เด็กบ้านผู้มีท่าทีก้าวร้าวและบ้าระห่ำ คนที่อยู่ในละแวกบ้านเดียวกับเขานั่นเอง

หนังมีฉากเปิดเรื่องที่โหดหนักเอาการ พร้อมกับการแสดงที่โดดเด่นของ บิ๊ก D Gerrard ที่สวมบทยาท เด็กบ้าน ได้บ้าคลั่งเดาใจไม่ถูก ก่อนจะพาไปพบกับความเป็นจริงที่น่าเห็นใจของชายผู้นี้ ทำให้บิ๊กกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในสี่คิงภาคสองโดยปริยาย

หนังบอกเล่าชีวิตของเด็กช่างในหลายๆ แง่มุม จนทำให้เราเศร้าและสะเทือนใจในชะตากรรมทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นด้วยสักนิดกับการใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรง เพราะมันไม่ได้แก้ปัญหาอะไร แถมนอกจากไม่แก้ ยังจะสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาทับเสียด้วยซ้ำ หนังบอกเล่าตัวละครที่พบเจอกับสถานการณ์และสภาพครอบครัวที่แตกต่างกัน บางคนโดนฟันหนักปางตายถึงได้คิดว่าไม่อาจเอามันกลับคืนมาได้ บางคนอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่เอาแต่ทะเลาะกัน ไม่ได้ใยดีลูกชาย และมองเห็นเขาเป็นตัวปัญหา ขณะที่บางคนอยู่ในครอบครัวที่ดีทุกอย่างจนไม่อยากจะทำให้พวกเขาต้องเสียใจอีก

ส่วนเจ้าตัวเด็กบ้านมันเป็นพวกฝังใจเหลือเกินพวกเด็กช่างซึ่งหนังก็บอกเล่าที่มาที่ไปได้สะเทือนใจดีแท้

ในภาคนี้ นอกเหนือจะได้ตัวละครนักเรียนอาชีวะตัวใหม่แล้ว ก็ยังมีตัวละครรับเชิญที่ทุกคนรู้จักเข้ามาหลายคนด้วย หนึ่งในนั้น คือ ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง ที่เล่นเป็นพ่อของรก บุรณพนธ์, ทราย อินทิรา เจริญปุระ ที่เล่นเป็นพี่สาวของบ่าง กนก, มีสมาชิกทั้งสามของวง Moderndog มาเล่นเป็นตัวเองบนเวทีคอนเสิร์ต และมี สุธีรัชย์ ชาญนุกูล (หรือ บุ๋มบิ๋ม สามโทน) มาเล่นเป็นบอสของยาท เด็กบ้าน อ้อ แล้วก็ยังมีนักแสดงรับเชิญอีกหลายคนที่มาโผล่เซอร์ไพรส์ในบางฉากด้วยนะ

ขณะที่บางตัวละครถูกใส่เข้ามาแบบไม่บอกให้ชัดว่าเขาเป็นใคร โผล่มาแว้บเดียวแล้วเขาก็ไป แต่ตัวละครที่ถูกเล่าอย่างตั้งใจ และคนที่สวมบทบาทก็เล่นได้โดดเด่น ก็คือ ทราย เจริญปุระ ที่ต้องปะทะกับน้องชาย ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตา เธอทำได้อย่างยอดเยี่ยม พอจะก้าวเข้าชิงรางวัลในสาขาสมทบหญิงได้แน่ ส่วน แหลม สมพล รุ่งพาณิชย์ กับผลงานการแสดงชิ้นแรกในบทของบ่าง ก็ถือว่าทำได้ไม่เลว แบกหนังเอาไว้ได้พอสมควร

และในภาคนี้ สิ่งที่ผมชื่นชอบอย่างมากก็คงเป็นดนตรีประกอบที่ทำได้เข้ากับอารมณ์และสถานการณ์ แถมยังโดนใจสุดๆ เช่นเดียวกับงานภาพและการจัดแสง

ส่วนการเล่าเรื่องของหนังนั้น ผมชอบการเล่าในภาคแรก ที่เล่าปัจจุบันก่อน ก่อนจะหันไปเล่าอดีตเพื่อบอกเหตุของผล แล้วกลับมาสู่ปัจจุบัน มันดูกลมกล่อมดี แต่ภาคนี้ มันเริ่มต้นขึ้นด้วยเหตุการณ์ๆ หนึ่ง แล้วค่อยปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไป คนดูอาจจะไม่รู้ว่ามันจะจบที่ตรงไหน จนกว่าจะได้เจอจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริงนั่นแหละ ถึงได้รับรู้ว่า ผลของทั้งหมดมันคืออะไร ภาคแรกอาจสนใจเรื่องความรักและการท้องในวัยเรียน แต่ภาคนี้ดูจะใส่ใจเรื่องความเหลี่ยมล้ำทางสังคมมากเป็นพิเศษ จัดว่าเป็นการขยายตัวเองที่น่าชื่นชม

เรื่องราวตรงนั้นมันชวนเศร้าสะเทือนใจ หลายคนต้องเสียน้ำตาให้ บอกตรงๆ ว่า แม้จะไม่ชอบแต่ก็ไม่อาจเกลียดตัวละครตัวนี้ได้ลงจริงๆ

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง