นี่คงเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่ง ที่ตั้งไว้ในใจว่าจะไปดู แต่เจอพิษเหตุการณ์ไม่สงบ ทำให้คิวเข้าโรงฉายถูกเลื่อนไป เมื่อหมอกควันจางลง คิวเข้าฉายกลับมา ก็ต้องไม่พลาดสินะที่เดินเข้าโรงหนังเพื่อชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง ‘Prince of Persia: The Sands of Time’ ชื่อไทย ‘มหาสงครามทะเลทรายแห่งกาลเวลา’ กับหนังตัวอย่างที่ทำไว้สวยหรูดูดี วันนี้จะเป็นเช่นไร คงได้รู้กัน เดินเข้าโรงใหญ่หวังใจจะเสพเรื่องราวของ เจ้าชายแห่งเปอร์เซีย ในแบบฉบับภาพยนตร์เสียที เอ้า เรามาเริ่มกัน
แดสตัน (Jake Gyllenhaal) เจ้าชายคนเล็กสุด ผู้ที่เคยยาจกมาก่อน ถูกพระราชาฉุดขึ้นมาจากเมืองเล็กๆ ชุบเลี้ยงดั่งลูกในวังใหญ่แห่งเปอร์เซีย ดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องลึกลับ เวทย์มนตร์ และความฉ้อฉลแห่งการแย่งชิง
เปอร์เซียในภาพยนตร์ ดูเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ท่ามกลางความแห้งแล้ง สีเหลืองแห่งทะเลทรายปกคลุมไปทั่ว ทุกอย่างดูจะต้องอาศัย CG ทั้งหมดจึงจะสร้างเมืองใหม่ที่ยิ่งใหญ่สมดังที่ต้องการได้
รีวิวหนัง ”มหาสงครามทะเลทรายแห่งกาลเวลา”
หนังดำเนินอย่างสนุกพอใช้ได้ ตั้งแต่วันเริ่มต้นเป็นเจ้าชาย จนวันที่เราได้เห็นเจ้าหญิงแห่งอลามุท นาม ทามิน่า (Gemma Arterton) พบว่า เจ้าหญิงคนนี้ หน้าตาสวยคมไม่เหมือนใคร พอๆ กับที่เราได้เห็นว่า เจ้าชายแดสตัน ก็ดูหล่อเข้ม มีเคราเสริมให้ยิ่งเข้มหนัก ใครใคร่อยากดูพระเอกนางเอกก็คงจะสมใจแล้วล่ะ แต่น่าเสียดายที่ฉากจู๋จี๋นั้นอาจจะน้อยไปนิด มาแบบยิบย่อยแล้วก็ไปเน้นที่ฉากการต่อสู้เสียมาก
เจ้าชายแดสตัน ผู้มีพี่ชายสองคน สองคนนั้นเป็นลูกชายแท้ๆ ของพระราชา เจ้าชายที่มาจากดินอย่างเขาไม่มีสิทธิ์ได้ปกครองเมือง หากแต่เขาอาจเป็นเจ้าชายเพียงคนเดียวที่จะช่วยเปอร์เซียไว้ได้จากคนฉ้อฉล เมื่อได้ดูหนัง คุณจะเดาได้ว่าเป็นใคร
ถ้าถามว่า ผมพอใจแค่ไหนกับ ‘The Sands of Time‘ ผมพอใจในระดับหนึ่ง การดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างเร็ว อาจทำได้ตามเรื่องไม่ทันสำหรับบางคน ฉากต่อสู้พบเห็นได้บ่อยสุด แต่หลายครั้งก็พบว่า การต่อสู้ในโทนสีเหลืองของฉาก ดูไม่ออกเลยว่า ตัวละครกำลังต่อสู้ด้วยวิธีไหน ใครกำลังโดนอะไรอยู่ ภาพไม่ชัดเจน พร่าไหวและซูมจนไม่อาจมองเห็นท่าที แต่ถึงแม้จะเป็นฉากการต่อสู้ ก็กลับดูเหมือนจะไม่ชวนตื่นเต้นสักเท่าไหร่ ขณะที่เทคนิค CG ของนครแห่งเปอร์เซียก็ยังไม่ค่อยเนียนมากนัก โทนที่เหลืองทั้งเรื่องก็ยิ่งทำให้หนังดูจะมีแต่สีซีดๆ รายละเอียดของภาพดูจาง แม้จะเข้าใจว่าต้องการสร้างโทนของทะเลทรายก็ตาม ขณะที่ซีจีของกริชย้อนเวลากลับทำได้ดีทีเดียว
ที่ตะขิดตะขวงเล็กๆ ก็คงเป็นที่พระเอกช่างฉลาดมองกลอุบายออกง่ายดาย ชนิดที่คนดู (อย่างผม) ยังคิดไม่ทัน
ฉากชวนฮาชวนตลกที่แทรกเข้ามา พอจะกล้อมแกล้มให้ฮาได้อยู่ แต่ก็ไม่ค่อยจะโดนต่อมสักเท่าไหร่ กลายเป็นว่า มาสนุกลุ้นในช่วงท้ายเสียมากกว่า เทคนิคตระการตาก็มาพีคเอาช่วงท้ายเช่นกัน
ลองดูภาพโปสเตอร์ที่ผมเอามาฝากแล้ว คำที่แปะอยู่บนหัวของตัวละครคือสิ่งที่อยู่ในหัวของพวกเขาเหล่านั้น ส่วนผสมทางด้านความคิดของทุกตัวจะผสมรวมเข้า กลายเป็นหนังใหญ่ที่สร้างจากเกมเรื่องนี้ ซึ่งบางคนยกให้มันเป็นหนังที่สร้างจากเกมที่ดีเรื่องหนึ่งไปแล้ว
“It is said some lives are linked across time…
They are connected by an ancient calling that echoes through the ages…
Destiny.”
ชื่อภาพยนตร์: Prince of Persia: The Sands of Time / เจ้าชายแห่งเปอร์เซีย: มหาสงครามทะเลทรายแห่งกาลเวลา
ผู้เขียนบท: Boaz Yakin, Doug Miro, Carlo Bernard
ผู้กำกับ: Mike Newell
นักแสดง: Jake Gyllenhaal, Gemma Arterton, Ben Kingsley, Alfred Molina
ประเภท: Action/Adventure
เรท: น13+ (ไทย), PG-13 (สหรัฐฯ)
ความยาว: 116 นาที
สตูดิโอ: Walt Disney Pictures
เป็นหนังที่ดูแล้วโอเคครับ ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่น่าผิดหวัง
เห็นรีวิวหนังตัวอย่างแล้วน่าดูน่าชมมากครับ ยังไม่มีเวลาไปดูแต่ยังไงก็ต้องดูให้ได้ เพราะชอบหนังแนวนี้อยู่แล้วครับ
อยากให้เอาหนังของไทยมาเขียนบ้างก็ดีนะครับ โปรโมตหนังไทยว่างั้นเถอะ..
จริงๆ ผมก็ดูหนังไทยนะครับ เพียงแต่ว่า ยังไม่ค่อยมีหนังไทยเรื่องไหนชวนให้ควักตังค์ไปดูในช่วงนี้ แต่เร็วๆ นี้ มีให้อ่านแน่นอนครับ
ไปดูมาแล้วครับ สนุกใช้ได้เลยครับ อยากให้มีภาคต่อ เผื่อจะเจอเจ้าชายร่างมืด :)
เรื่องนี้เป็นหนังอีกเรื่องนึง ที่ค่อนข้างจะประทับใจ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเล่นเกมนี้เลยก็ตาม เนื้อเรื่องของหนังดำเนินไปได้ดี แต่ข้อเสียของเรื่องนี้คือ “เดาตอนจบได้” หนังที่เรารู้ตอนจบนั้นจะทำให้ความสนุกลดลง เพราะความตื่นเต้นและลุ้นระทึกตามหนังนั้นลดลงไปแล้ว ยังแอบคิดว่าถ้าจบแบบไม่สวย (ไม่ Happy End) อาจจะดูหักมุมมากกว่านี้อะคะ