หนึ่งในหนังที่อยู่ในหัวมาช่วงเวลาหนึ่ง ว่าคงต้องเดินเข้าโรงไปชมมันแน่ๆ เมื่อถึงวันที่มันเข้าโรง แต่ไปๆ มาๆ ก็ได้พบว่า มีรอบสื่อของหนังเรื่องนี้ในช่วงที่ม็อบกำลังป่วนทั่วกรุงจนต้องย้ายสถานที่จาก SF World Cinema ไปยัง SFX Cinema ที่เซ็นทรัลพลาซ่า แกรนด์ พระราม 9 แล้วก็ได้พบว่า หัวใจน้อยๆ ของนายแพทต้องมาสั่นสะเทือนอย่างแรง กับ ‘Like Father Like Son’ หนังครอบครัวที่เรียกน้ำตาลูกผู้ชายได้อีกเรื่องของปีนี้
หนังที่ค่ายหนังระบุว่ากวาดรายได้ทะลุ 3,000 ล้านเยน ขึ้นอันดับ 1 แบบต่อเนื่องจากจำนวนโรงฉายเพียง 309 โรงฉาย ครองแชมป์อันดับหนึ่งติดต่อกัน 2 สัปดาห์ซ้อน ในประเทศญี่ปุ่น คว้ารางวัล จูรี่ไพร์ซ (JURY PRIZE) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวที ลอนดอน ฟิล์ม เฟสติวัล และรางวัลขวัญใจมหาชน จากเทศกาลภาพยนตร์ San Sebastián International Film Festival
รีวิวหนัง ‘Like Father, Like Son’
เรื่องราวของ 2 ครอบครัวที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน จุดร่วมของสองครอบครัวคือ คลอดลูกชายที่โรงพยาบาลเดียวกันในวันเดียวกัน แต่เกิดเหตุสลับเด็กกันโดยไม่มีใครรู้เรื่องราวนี้มาก่อน ครอบครัวหนึ่งฐานะดีกว่ามาก อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่บนคอนโดฯ หรูหราดั่งโรงแรม อีกครอบครัว เปิดกิจการเล็กๆ ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ในเมืองเดิม ต่างฝ่ายต่างเลี้ยงเด็กชายของตนมา 6 ปี จึงได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาล ก่อนหน้านั้น ทุกอย่างดูจะสงบและดำเนินไปตามแต่รูปแบบของครอบครัวใครครอบครัวมัน
แต่แรงกระเพื่อมได้เกิดขึ้นแล้ว…
เหมือนระบบดาว 2 ระบบที่อยู่ดีๆ ก็มาโคจรใกล้กัน มันย่อมสับสนเป็นธรรมดา และต้องใช้เวลากว่าจะหาจุดที่ลงตัว เรียวตะ พ่อของครอบครัวโนโนมิยะ คนรวยผู้มีหน้าที่การงานดี เป็นสามีของมิโดริ ภรรยาที่ออกจากงานมาเป็นแม่บ้าน เขาคร่ำเคร่งในการเฝ้าสอนลูกชาย เพียรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเคตะ และเขายอมรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้รับรู้อย่างกระทันหันนี้
ขณะที่หัวหน้าครอบครัวอีกฝ่าย ดูจนกว่าอีกครอบครัวมาก แต่เขาเป็นพ่อของลูกสามคนที่ดูเลี้ยงลูกอย่างใกล้ชิดกว่ามาก และริวเซเป็นลูกชายคนโตวัย 6 ขวบของเขา เป็นครอบครัวที่ไม่ร่ำรวยเงินทองทว่าก็ร่ำรวยความอบอุ่น พวกเขาต้องเลือกระหว่าง ลูกชายที่เลี้ยงดูกันมา 6 ปีแต่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ หรือสายเลือดของตัวเองที่เพิ่งจะได้พบกัน
มันเป็นคำถามที่ตอบไม่ได้ง่ายๆ เลย
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ก็คือ เด็กๆ ใน ‘พ่อจ๋า รักผมได้ไหม’ นั้นน่ารักมาก เป็นธรรมชาติและเรียกรอยยิ้มเสียงหัวเราะได้ตลอด เช่นเดียวกับนักแสดงนำในวัยพ่อแม่ ที่ก็เรียกน้ำตาจากเราได้ตลอดเช่นกัน เป็นหนังที่ดำเนินเรื่องอย่างเรียบๆ เรื่อยๆ ตามสไตล์หนังญี่ปุ่น ไม่เค้น ไม่บิวต์ ไม่เน้นดนตรีประกอบให้มากมายนัก หลายครั้งเราจะได้ยินเพียงเสียงของตัวละคร หรือเสียงของแมลงที่ดังประกอบอยู่เท่านั้น แต่เพียงคำพูดบางคำ ท่าทาง แววตา เท่านั้นก็บ่งบอกได้แล้วถึงสิ่งที่สื่อสารออกมาข้างนอก ส่งผลต่อความรู้สึกในทันที และน้ำตามันก็เอ่อออกมา
หากคุณเคยผ่านตาผลงานอย่าง ‘Nobody Knows’, ‘Still Walking’ และ ‘I Wish’ มาบ้างแล้ว นั่นแปลว่าคุณรู้จัก Kore-eda Hirokazu ผู้กำกับฯ คนนี้มาประมาณหนึ่งแล้ว คงจะเข้าใจสไตล์งานของเขาได้ไม่ยาก เขาลงมือเขียนบทเองและรีไรต์มันใหม่ถึง 30 ครั้งกว่าจะได้เป็นบทภาพยนตร์ที่เราได้ดูกัน
หนังญี่ปุ่นอย่าง ‘Like Father, Like Son’ มีองค์ประกอบทางสัญลักษณ์อยู่หลายจุด จนบางครั้งยังคิดว่าที่ดูไปครั้งเดียวอาจจะจับมันได้ไม่หมดเสียด้วยซ้ำ ขณะที่ไดอะล็อกของตัวละคร กลับพบว่า เขาเขียนได้ละเอียดละอออย่างที่สุด บางอย่างที่อยู่ในหนังอาจจะดูว่าสำคัญแล้ว เขากลับหยิบมาพูดถึงอีกครั้งและกลับทำให้เรา ‘อึ้งแดก’ และคิดในใจว่า ‘เออว่ะ’ อยู่หลายหน ระหว่างดูอาจมีบางคนลองคิดในใจไปด้วยว่า ถ้าเราเป็นพ่อคนใดคนหนึ่ง เราจะเลือกตัดสินใจทำในแบบใด
ซึ่งหนังก็เลือกจะจบได้ดี ไม่เปิดเผยมากนักแต่พอให้เราเอาไปคิดต่อได้ครับ
ชื่อภาพยนตร์: Like Father, Like Son / พ่อจ๋า รักผมได้ไหม / Soshite chichi ni naru
ผู้กำกับภาพยนตร์: Kore-eda Hirokazu (โคเรเอดะ ฮิโรคาสุ)
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Kore-eda Hirokazu
นักแสดงนำ: มาซาฮารุ ฟุคุยามะ, มะจิโกะ โอโนะ, โชเกน ฮวาง, นิโนะมิยะ เคตะ
แนว/ประเภท: Drama
รางวัล: Jury Prize จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์
ความยาว: 120 นาที
เรท: ไทย/ท , USA/
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 5 ธันวาคม 2556
โรงภาพยนตร์ที่ฉาย: โรงภาพยนตร์ เอสเอฟ เวิลด์, ลิโด้ และเฮาส์ อาร์ซีเอ
ผู้สร้าง/สตูดิโอ/ผู้จัดจำหน่าย: GAGA
พ่อจ๋า รักผมได้ไหม
Like Father, Like Son - 9.6
9.6
Like Father, Like Son
หนังญี่ปุ่นอย่าง 'Like Father, Like Son' มีองค์ประกอบทางสัญลักษณ์อยู่หลายจุด จนบางครั้งยังคิดว่าที่ดูไปครั้งเดียวอาจจะจับมันได้ไม่หมดเสียด้วยซ้ำ ขณะที่ไดอะล็อกของตัวละคร กลับพบว่า เขาเขียนได้ละเอียดละอออย่างที่สุด บางอย่างที่อยู่ในหนังอาจจะดูว่าสำคัญแล้ว เขากลับหยิบมาพูดถึงอีกครั้งและกลับทำให้เรา 'อึ้งแดก' และคิดในใจว่า 'เออว่ะ' อยู่หลายหน ระหว่างดูอาจมีบางคนลองคิดในใจไปด้วยว่า ถ้าเราเป็นพ่อคนใดคนหนึ่ง เราจะเลือกตัดสินใจทำในแบบใด ซึ่งหนังก็เลือกจะจบได้ดี ไม่เปิดเผยมากนักแต่พอให้เราเอาไปคิดต่อได้ครับ