หนังซูเปอร์ฮีโร่จากฝั่งฮอลลีวู้ดนั้นมีกันออกมาเรื่อยๆ ครับ แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวไหนก็มักจะมีพลังวิเศษที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาๆ เสมอ แต่แล้วก็มีมนุษย์ผู้เป็นซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์ใหม่ที่กำเนิดจากหนังสือการ์ตูนในยุคใหม่ แหวกและฉีกแนวจากซูเปอร์ฮีโร่ทุกๆ ตัว มันเกิดมาพร้อมคำถามที่ว่า “ทำไมถึงไม่มีใครพยายามจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่กันบ้าง”
นั่นแหละ มันจึงได้เกิด ‘Kick-Ass’ ขึ้นมาบนโลกนี้ หลังจากประสบความสำเร็จทำรายได้ไปร่วม 100 ล้านเหรียญกับภาคแรกในปี 2010 ผ่านมาอีก 3 ปี ภาคสองก็ตามออกมาสานต่อความเกรียนของซูเปอร์ฮีโร่คนธรรมดาให้ถึงเนื้อถึงหนังกันอีกครา โดยทีมนักแสดงนำชุดเก่ากลับมากันครบ ยกเว้นก็เพียงแต่ BD – Big Daddy (ที่สวมบทบาทโดย Nicolas Cage) พ่อของนางเอก และ Frank D’Amico (สวมบทบาทโดย Mark Strong) พ่อของ Red Mist (เจ้าหมอกแดง) เจ้าพ่อมาเฟียที่ถูกสองพ่อลูกโค่นและสิ้นชีวิตไป
เรื่องย่อหนัง ‘Kick-Ass 2’
เรื่องราวของสาวมินดี้ / Hit Girl (Chloë Grace Moretz จากหนังเรื่อง ‘Carrie’ และ ‘The 5th Wave’) ที่ต้องอยู่ในความดูแลของนักสืบมาร์คัส (Morris Chestnut จากซีรีส์ ‘The Resident’) ถูกยื่นคำขาดให้ต้องเลิกเป็นฮิทเกิร์ลและสนใจแต่การเรียนอย่างเดียว แต่เธอก็แอบออกไปปฏิบัติภารกิจอยู่เสมอๆ
ขณะที่เดฟ / Kick-Ass (Aaron Taylor-Johnson จากเรื่อง ‘Tenet’) ก็ตามเทียวไล้เทียวขื่อมินดี้อยู่ไม่ห่าง หวังให้เธอช่วยสอนและพัฒนาทักษะการต่อสู้ระดับประถมให้มันเทพมากกว่าที่เป็นอยู่
และผลพวงจากเรื่องราวในภาคก่อน ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่คนทั่วไปหันมาใส่ชุดที่ตัดเย็บเองก็ปฏิบัติตัวเยี่ยงซูเปอร์ฮีโร่ แถมรวมกลุ่มกันภายใต้ชื่อ จัสติสฟอร์เอฟเวอร์ ที่นำโดย Colonel Stars and Stripes (Jim Carrey จากหนังเรื่อง ‘Yes Man’ และ ‘Sonic the Hedgehog’) ที่ไปๆ มาๆ เมื่อหาแนวร่วมไม่ได้และไม่อยากจะลุยเดียว คิกแอสก็เลยต้องร่วมแก๊งจนได้
และคู่ต่อกรก็มิใช่ใครที่ไหน เขาคือ คริส ดีอามิโค่ ไอ้ลูกของพ่อที่ตายไป หรือ เร้ดมิสต์ (หมอกแดง) ในภาคที่แล้ว หรือชื่อใหม่ The Motherf*cker ในภาคนี้ แต่ทั้งหมดก็คือ Christopher Mintz-Plasse ผู้สวมบทบาทนั่น ภาคนี้ได้เวลาชำระแค้นของเขาเสียที
รีวิวหนัง ‘เกรียนโคตรมหาประลัย 2’
สิ่งที่ต้องชื่นชมก็คงเป็นซับไทยที่แปลออกมาได้สะเด็ดสะเด่ามาก โดยเฉพาะชื่อของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่และวายร้ายที่ใช้ภาษาไทยลงไปล้วนๆ แถมดูคล้องจองแกมตรงความหมายชื่อเดิมอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างก็เช่น The Motherf*cker ก็แปลซับเป็น “ไอ้ระยำซั่มแม่”, Kick-Ass ก็แปลซับเป็น เกรียนโคตร, Colonel Stars and Stripes ก็แปลซับเป็น ผู้พันชัยเฉลิมพล เป็นต้น ขณะที่ภายในเนื้อเรื่องก็มีทั้งบทพูดและรายละเอียดที่ไม่ต้องใช้คำพูด(ที่จะเป็นมุขตลกได้) คนทำซับเขาก็แปลมาให้หมด ซึ่งต่างก็สร้างเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี
และแน่นอน หลายหนเชียวที่มันสองแง่สองง่ามและหยาบคายอยู่พอสมควร มันถึงได้เรท R ในอเมริกาไง
หนังยังเลือกที่จะเล่าไปในทางเสียดสีชีวิตวัยรุ่นมะกันในบางแง่มุมด้วยซ้ำ มิใช่เพียงจะเสียดสีหนังซูเปอร์ฮีโร่ด้วยกันเองแต่เพียงถ่ายเดียว ซึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ หนังยังคงสไตล์เล่นจริงใช้เทคนิคพิเศษแต่น้อยๆ ตัวละครทุกตัวเจ็บเป็น เลือดทะลักเป็น เรียกได้ว่า จัดเต็มในด้านฉากรุนแรง ที่สำคัญ คือ การตัดต่อในฉากต่อสู้และฉากดำเนินเรื่อง มันช่างประสานกับดนตรีประกอบส่งเสริมความสนุกได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ
นอกเหนือจากความเกรียน ความมัน ความโหดแล้ว ก็ยังพอเหลือพื้นที่ให้กับฉากดราม่าได้ประมาณๆ หนึ่งอีกด้วยนะครับ
ในภาคนี้ เราจะได้เห็น Jim Carrey ในมาดใหม่ เขาดูจริงจังไม่ปล่อยมุขตลกอย่างที่คุ้นตาออกมาให้เห็น เขาสวมบทบาทหัวหน้าแก๊งซูเปอร์ฮีโร่ผู้เคยผ่านการเป็นวายร้ายมาก่อน ‘Kick-Ass 2’ มีแนวคิดที่สอนใจเราได้หลายเรื่อง ส่วนใหญ่คงเป็นวลีที่เราคิดกันในใจอยู่แล้วแค่ไม่ได้เอามาใช้ เขาเลยสะกิดให้เรานึกขึ้นมาอีกหน
หนังจบ อย่าเพิ่งลุก รอจบ End Credit ซึ่งไม่นานนัก จะเจอฉากติ่ง ไหนๆ จะเกรียนแล้วต้องเกรียนให้ครบนะครับ
ชื่อภาพยนตร์ : Kick-Ass 2 / เกรียนโคตรมหาประลัย 2
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Jeff Wadlow
ผู้เขี่ยนบทภาพยนตร์ : Jeff Wadlow (screenplay), Mark Millar (comic book), John Romita Jr. (comic book) (as John S. Romita Jr.)
นักแสดงนำ : Aaron Taylor-Johnson, Chloë Grace Moretz, Christopher Mintz-Plasse, Jim Carrey
แนว/ประเภท : Action, Comedy, Crime
เรท: ไทย/ , USA/R
ความยาว: 103 นาที
ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Universal Pictures, Marv Films, Plan B Entertainment
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 22 สิงหาคม 2556
เกรียนโคตรมหาประลัย 2
Kick-Ass 2 - 7
7
Kick-Ass 2
Kick-Ass 2 เลือกที่จะเล่าไปในทางเสียดสีชีวิตวัยรุ่นมะกันในบางแง่มุม หนังยังคงสไตล์เล่นจริงใช้เทคนิคพิเศษแต่น้อยๆ จัดเต็มในด้านฉากรุนแรง การตัดต่อในฉากต่อสู้และฉากดำเนินเรื่อง มันช่างประสานกับดนตรีประกอบส่งเสริมความสนุกได้อย่างเหลือเชื่อ แถมยังพอเหลือพื้นที่ให้กับฉากดราม่าได้ประมาณๆ หนึ่งอีกด้วย