หนังหันเหไปทำหนังรัก-ตลกอยู่พักหนึ่ง ผู้กำกับคนที่เคยกำกับหนังผีที่ถูกกล่าวขวัญถึงอย่าง ‘ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ’, ‘แฝด’ รวมทั้ง ‘พี่มาก…พระโขนง’ ก็กลับมาสร้างหนังผีอีกครั้ง และครั้งนี้ เขาร่วมมือกับโปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง นา ฮง-จิน เพื่อสร้างหนังที่มีไอเดียเริ่มต้นจากทางเกาหลี แต่ถูกพัฒนาด้วยบริบทของไทย กลายเป็นหนังเรื่องใหม่ ‘ร่างทรง (The Medium)’ ที่เก็บรายได้อย่างงดงามในหลายประเทศก่อนจะได้ฉายในบ้านเรา
เรื่องย่อหนัง ร่างทรง
เรื่องราวของครอบครัวหนี่งในภาคอีสานของไทย ที่ได้สืบเชื้อสายร่างทรง ‘เทพบาหยัน’ มาหลายชั่วอายคุน ซึ่งเชื่อกันว่าจะเลือกแต่ร่างของผู้หญิงเพื่อสืบทอดทายาท โดยมี ‘นิ่ม’ เป็นผู้สืบทอดสายเลือดร่างทรงคนปัจจุบัน
ก่อนที่จะพบว่าเริ่มมีอาการแปลกประหลาดหลายอย่างเกิดขึ้นกับ ‘มิ้ง’ หลานสาวคนเดียวของตระกูล
ที่คาดกันว่าน่าจะถูกรับเลือกให้เป็นทายาทร่างทรงคนต่อไป แต่มิ้งกลับมีอาการน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ จนสมาชิกในครอบครัวเริ่มสงสัยกันว่า สิ่งที่เข้ามาอยู่ในร่างของมิ้งอาจจะไม่ใช่เทพบาหยันอย่างที่ทุกคนคิด
นั่นคือเรื่องย่อของหนังไทยเรื่องนี้ ที่เตรียมจะเข้าฉายในไทย 28 ตุลาคมนี้ และนี่คือส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ผู้กำกับฯ และนักแสดงนำ ที่เราจะเก็บมาฝากกัน ก่อนจะถึงวันได้รับชม
บทสัมภาษณ์ผู้กำกับและนักแสดงนำ
จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ คุณโต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับหนังเรื่องนี้เล่าให้ฟังว่า เรื่องมันเริ่มจากทางหอศิลป์กรุงเทพ ให้เขาเลือกหนังเรื่องนึงเพื่อเอาไปฉาย แล้วเขาจะพยายามเชิญผู้กำกับท่านนั้นมา บังเอิญคุณโต้งเลือกหนัง ‘The Chaser’ ของคุณนาฮงจิน ทำให้ได้พูดคุยกัน ผ่านไปสามสี่ปีคุณนาฮงจินจึงได้โทรมาชักชวนไปทำหนังเรื่องนี้
หลังได้โปรเจกต์นี้มา ทางคุณโต้งจึงได้ไปทำรีเสิร์ช ไปเจอด้วยตัวเอง และค้นพบว่าเรื่องร่างทรงระหว่างไทยกับเกาหลีนั้นมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะในข้อที่ว่าร่างทรงจะสืบทอดจากรุ่นหนึ่งไปรุ่นหนึ่ง และสุดท้าย เขาก็เลือกจะใช้บรรยากาศอีสานมาเล่าเรื่อง ด้วยเหตุผลเพราะ…
“อยากได้บรรยากาศที่ขลังที่สุด อยากได้แบบไทยแท้ๆ จึงมองเหนือกับอีสาน ซึ่งอีสานมีความขลังในแบบที่เราอยากได้”
ต่อข้อคำถามว่า เรื่องนี้มันคือสารคดีหรือเปล่านั้น คุณโต้งก็ชี้แจงเอาไว้ว่า “จริงๆ เป็นเรื่องแต่งเรื่องสมมติทั้งหมดครับ เพราะเราต้องการให้ดูสมจริงมากที่สุด จึงใช้สไตล์การถ่ายทำเหมือนเป็นสารคดีให้เหมือนเป็นเรื่องจริง แต่ทุกอย่างสมมติขึ้นทั้งหมด ซึ่งถ่ายทำยากมาก เช่น เราจะให้นักแสดงเล่นโดยที่ตากล้องไม่รู้ว่านักแสดงจะเล่นยังไง ตอนถ่ายก็จะคิดกันตลอดเวลาว่าเราจะเล่ายังไง”
นอกจากสไตล์การเล่าที่คล้ายสารคดีที่ท้าทายนักดูหนังอยู่พอสมควร การเลือกจะใช้นักแสดงใหม่ก็นับว่าท้าทายไม่แพ้กัน
“ด้วยความที่อยากให้คนดูอินมากที่สุดและดูราวกับเรื่องจริง ถ้าเป็นดาราดัง คนดูจะรู้สึกว่านั้งหนังไปหน่อย และบทหลายบทนี่มันยากมากจนต้องใช้นักแสดงละครเวทีมาร่วมงาน” คุณโต้งบอกเราไว้แบบนั้น
และผลของการแคสต์ก็ได้นักแสดงนำเป็น พี่เอี้ยง (ในบทป้านิ่ม) และน้องญดา (ในบทมิ้ง) “ทั้งสองผ่านมาด้วยแคสค์ล้วนๆ แคสต์กันหลายรอบ จนดูเทปเห็นสองคนนี้เล่นแล้วทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น 70% เลย”
น้องญดา
ในส่วนตัวน้องญดานั้น หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นหน้ากับน้องเขามากนัก และในการรับเล่นครั้งนี้ เธอจะได้เจอกับบททดสอบอย่างบทผีเข้า ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่า “ทำการบ้านกับตัวละครมิ้งหนักมาก เพราะห่างไกลจากตัวเรามาก ต้องพูดคุยกับพี่โต้งว่าจะไปทางไหนดี ก็คุยกับครูก้อยเลยไปฝึกความเป็นสก๊อยให้มากขึ้น (เพราะคาแรคเตอร์ของตัวนี้จะมีความเป็นสก๊อยอยู่) ไม่ได้รู้สึกท้อ เหนื่อยด้วยร่างกายมันเหนื่อยอยู่แล้วค่ะ พี่โต้งเก่งมากที่ช่วยให้เข้าใจความเป็นตัวละครได้รวดเร็ว”
และก็ไม่ใช่แค่บทที่ยาก เพราะในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ต้องมีพักกองไปช่วงหนึ่งเพื่อให้น้องญดาลดน้ำหนักไปถึง 10 กิโลกรัมเพราะครึ่งหลังของหนัง เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่ชัดที่สุด
เรื่องนี้คุณโต้งล่าว่า “เรื่องมันเริ่มจากคนปกติ แล้วเริ่มเจอเหตุการณ์น่ากลัว เลยรู้สึกว่าครึ่งเรื่องต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงละ น้องญดาต้องลดน้ำหนักไปถึง 10 กิโลใน 1 เดือน” เรื่องนี้ทางคุณโต้งและทีมงานก็ดูแลน้องอย่างดี ไม่ให้มากเกินไป เอาที่น้องไหวแค่ไหนมากกว่า เรื่องนี้ น้องญดาเล่าเสริมให้ฟังอีกว่า “หนูต้องตื่นมาชั้งน้ำหนักทุกเช้าเย็น วัดความดัน แต่ก็มีบางวันที่ลืม พลาดไปแค่มื้อเดียว ร่างกายมันถึงกับรวนเลยค่ะ ต้องค่อยๆ จิบน้ำไปเรื่อยๆ”
คงต้องไปดูหนังเต็มๆ กันอีกทีว่า ความเปลี่ยนแปลงมันมากแค่ไหน แต่ก็ได้ข่าวว่าซีนครึ่งหลังจะเป็นแอคชันหมดเลย ทั้งที่ผอมลงไปขนาดนั้นแต่น้องเขาก็ใส่เต็ม นับถือสปิริตน้องญดาจริงๆ
พี่เอี้ยง
มาถึงพี่เอี้ยงเล่นเป็นป้านิ่มกันบ้าง “พอเห็นเทปพี่เอี้ยงก็คิดว่าคนนี้ใช่มากแล้วล่ะ แต่พอจะส่งไปเกาหลีก็คิดว่าจะหาคู่แข่งไปด้วย แต่ปรากฏว่ามีคนเดียวจริงๆ เป็นคนที่มาจากบทบาทนักแสดงเวทีที่เอาอยู่ได้จริงๆ” ผู้กำกับการันตีเอาไว้จนอยากจะได้ดูหนังเสียเดี๋ยวนี้เลย
ที่นี้ลองฟังจากเจ้าตัวดูบ้าง “ถามว่ากดดันมั้ย ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพราะเชื่อพี่โต้งอยู่แล้ว เราต้องเต็มที่กับอันนี้ เราทำการบ้านด้วยกัน ต้องหาว่าร่างทรงควรจะประมาณไหน ที่เหลือคือพุ่งไปทำการบ้านในการเป็นป้านิ่ม ตัวนี้รายละเอียดเยอะมาก บังเอิญเคยไปเจอร่างทรงตัวจริง ซึ่งเขาไม่ได้โวยวายและให้คำปรึกษาที่ดี ทำให้เราเอามาใช้และเบลนด์เข้ากับสิ่งที่พี่โต้งต้องการ บวกกับเราเคยเล่นละครเวทีมาก่อนก็เลยต้องเล่นให้เข้าถึงได้มากขึ้น”
เมื่อถูกถามว่าซีนไหนที่กำกับยากที่สุด คำตอบที่ได้จากผู้กำกับคือ “ยากทุกซีน” และ “ยิ่งตอนท้ายยิ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ” แถมท้ายด้วยคำตอบที่ว่า “มีถึงการรีชูต และก็มีเขียนเพิ่มด้วย”
หันไปถามพี่เอี้ยงบ้าง “เอาเป็นว่ามันที่สุดดีกว่า ถ้าในตัวอย่าง คือซีนที่มีผู้หญิงคนนึงหันหลังให้กล้องแล้วตะโกนเสียงดังมาก จริงๆ ซีนนั้นมันมีฝนตก และทำให้ทุกอย่างมันลื่น แถมพี่โต้งกดดันไว้ก่อน ทุกอย่างมันควบคุมไม่ได้ ทำให้เราถึงขั้นหันไปพูดกับน้องๆ ในทีมว่า “พี่ยังไม่ตาย”“
ฉายที่ต่างประเทศก่อนไทย
เป็นธรรมดาของการสร้างหนังหรือละครเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่มักจะต้องถามว่า เจออะไรกันบ้างหรือเปล่า? ในข้อนี้ เหมือนจะไม่มีใครเจอ นอกจากน้องญดา “สถานที่ถ่ายทำตรงที่มีรูปปั้นย่าบาหยัน ตอนที่เราเซ็ตฉากทุกอย่างฟ้าโปร่ง พอเริ่มถ่ายทำกลับฟ้ามืดฝนตก นักแสดงทีมงานก็ต้องหลบเข้าไปอยู่ในถ้ำที่เล็กมากๆ แม่หนูก็เริ่มสะกดคนข้างๆ ก็มองหน้ากันไปมา พอออกจากสถานที่นั้น แม่ก็บอกว่าเป็นเสียงของผู้หญิงร้องไห้ แต่เรื่องนี้ไม่มีใครมาบอกพี่โต้ง และทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี” แน่นอนว่า ผู้กำกับมารู้เอาเมื่อถ่ายทำจบไปแล้ว
อย่างที่รู้กันว่า ในช่วงนี้หลายๆ ในประเทศในโลกเผชิญกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างในเมืองไทยก็มีการเปิดโรงหนังไปเป็นเดือนๆ ทำให้หนังต้องไปฉายในต่างประเทศก่อน ซึ่งก็ได้รับกระแสการตอบรับที่ดีมากๆ “ตั้งแต่เกาหลี เปิดตัวอันดับหนึ่ง เราก็แบบนี่เราฝันไปหรือเปล่า วันแรกที่ฉาย เขาประกาศว่าทุกอย่างต้องปิดสี่ทุ่ม แต่หนังก็ยังทำรายได้ดี ถือเป็นผู้รอดตาย ที่เกาหลี รายได้แซงพี่มาก ที่สิงคโปร์ เป็นหนัง GDH ที่ทำรายได้อันดับหนึ่ง”
และด้วยความที่เมืองไทยเพิ่งจะเริ่มเปิดให้โรงหนังในเขตจังหวัดสีแดง ทำให้หลายคนได้รับชมหนังเรื่องแล้วจากการแชร์หนังเถื่อน และคลิปสปอยล์ พวกเขารับมือยังไงกับเรื่องนี้กัน คำตอบที่ได้จากคุณโต้งก็คือ “รับมือได้ยากนะครับ การดูหนังครั้งแรก มันคือการเสียเวอร์จิ้น ถ้าอยากดูเรื่องนี้ก็อาจต้องหลบเลี่ยงสปอยล์ได้ดี”
ฝากหนังเรื่องนี้กับคอหนังชาวไทย
ต่อข้อถามว่าที่อยากจะฝากอะไรกับผู้ที่อ่านบทสัมภาษณ์หน้านี้
พี่เอี้ยง: “อยากชวนให้ท้าทายตัวเองในการดูหนังเรื่องนี้ แล้วเราจะเจอเรื่องใหม่ๆ”
ญดา: “อยากให้ไปชมหนังเรื่องในโรงจริงๆ เพราะแตกต่างจากเรื่องอื่นที่ไทยเคยทำกัน จะได้เห็นรายละเอียดและเต็มอรรถรส”
คุณโต้ง: “ผมว่าทุกอย่างที่ทำกันมาจะได้ผลต้องเป็นในโรงหนังจริงๆ เท่านั้น ซาวด์ต่างๆ ก็ใช้ไอเดียไปเยอะมาก ถ้าดูในคอมพ์คือพลังมันจะหายไปเยอะเลย อยากให้ดูในโรงหนังมากที่สุด”
อ่านบทสัมภาษณ์ที่จัดเต็มยาวเหยียดมาถึงขั้นนี้ สำหรับใครที่อดใจรอชมในโรงภาพยนตร์ เรานับถือในความมั่นคงของพวกคุณมาก แล้วอย่าลืมตีตั๋วเข้าไปรับชมและซึมซับอรรถรสความสมจริง ความหลอน ความน่ากลัว และแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องร่างทรงได้ทั่วประเทศ 28 ตุลาคม 2021 นี้พร้อมกันนะครับ