เพียงไม่กี่วันหลังหนังหายนะเรื่องใหม่ของ Roland Emmerich อย่าง ‘2012’ หรือ ‘2012 วันสิ้นโลก’ เข้าฉายในประเทศสยาม ผมก็พาตัวเองเข้าไปดูถึงในโรงจนได้ โรงเดิมที่ใช้บริการก็ไม่ใช่ที่ไหน ภาวลัยของพารากอนซีเนเพล็กซ์เจ้าเก่านั่นเอง รอบค่ำๆ กำลังดีทีเดียว
เมื่อเจ้าพ่อหนังหายนะของมนุษยชาติ กลับมาอีกครั้ง มันกลายเป็นหนังที่ทุกคนต้องดูเสียทุกที ด้วยสเกลของ CG ที่มหึมาชนิดที่ถ้าทำไม่สมจริง มีหวังโดนด่าเละแน่ๆ มันจึงไม่ใช่หนังที่จะมีมาให้ชมกันบ่อยๆ และเมื่อมาทั้งที แม้จะต้องไปนั่งดูหายนะของตัวเอง ยังไงก็ต้องไปดู
เมื่อโลกถึงกาลอวสาน ด้วยเหตุพ้องต้องกันหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเมื่อโยงเอาปฏิทินของเผ่ามายา ที่บอกว่า 21 ธ.ค. 2012 จะเป็นวันสิ้นโลก ประกอบเข้ากับเหตุการณ์ที่ดูจะประจวบเหมาะมาเกิดในช่วงเดียวกัน จนพาให้เกิดปรากฏการณ์หลายๆ อย่างที่ดูจะซ้ำรอยกับช่วงที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้
หนังเริ่มต้นด้วยการนำเราไปรู้จักกับ แจ็คสัน เคอร์ติส (จอห์น คูแซ็ค) นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์โนเนม ที่มีชีวิตครอบครัวที่ไม่ค่อยจะสมบูรณ์สักเท่าไหร่ ชีวิตการงานดูจะทำให้ลูกชายลดความเชื่อมั่นในตัวเขาลงไปเยอะ ขณะที่เมียเก่าก็คบอยู่กับแฟนใหม่ที่เป็นแพทย์ศัลยกรรม ก่อนจะได้พบว่า มีเหตุบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นที่เยลโลสโตน อุทยานแห่งชาติที่เขาคุ้นเคย
แน่นอนว่า เรื่องราวบางอย่างมีเงื่อนงำ และถูกปกปิดไว้ คุณคงเห็นภาพแล้วจากตัวอย่างหนัง ที่เปิดให้เห็นภาพของหายนะทางธรรมชาติที่ทำลายทั้งมนุษย์และสัตว์ แน่นอน เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นจริงในหนัง แต่มีบางอย่างที่คุณต้องไปดูเพิ่มเอาเอง เพราะผมเล่าไม่ได้ เอาเป็นว่า มันเป็น “อลังการหายนะ” อย่างแท้จริงก็แล้วกัน
ในหนัง เราได้พบกับแคแรคเตอร์ต่างๆ ที่หลากหลาย ผู้เขียนบทก็พยายามจะแยกบนให้แต่ละคนต่างมีความลึกของตัวเอง และโดดเด่นออกมาพอๆ กัน ทำให้เราได้เห็นแง่มุมต่างๆ ของมนุษย์ แง่มุมที่เราต้องย้อนกลับมาดูตัวเองว่า มันใช่หรือไม่
ในวันที่เรากำลังจะสูญสิ้นชีวิต เราจะรวมตัวกันสู้ หรือเห็นแก่ตัวเอาเพียงตนที่รอดก่อนหรือไม่ เราคงไม่รู้ จนกว่าวันนั้นจะเกิดขึ้นจริงกับเรา
เราได้เห็นว่า มนุษย์บางส่วนยังคงดิ้นรนที่ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอยู่ในนานที่สุด ในช่วงเวลาที่เห็นว่ายังพอจะมีทางรอดได้ แต่กับมนุษย์อีกส่วน เมื่อเห็นว่า การดิ้นรนไม่มีความหมาย ก็เตรียมตัวรับความตายอย่างกล้าหาญ
ตื่นเต้นในช่วงต้น ที่นั่งมองดูแล้ว ถ้าเจอจริงๆ ไม่ต้องหนีให้โง่ เพราะดูท่าจะไม่รอดอย่างตัวเอกในเรื่องเป็นแน่ ขณะที่ช่วงกลางกับเนือยลงไปจนมีหาวเข้ามาบ้างเป็นบางที ส่วนตอนท้ายนี่ลุ้นกันเยี่ยวเหนียว แต่จะจบยังไง …จะให้เล่างั้นรึ ไม่น่า…
เจอกับการเพิ่มราคาบัตรด้วยเหตุผลโง่ๆ ของเมเจอร์ฯ เข้าไป หนังยาว 2 ชั่วโมง 40 นาที บวกกับโฆษณาและตัวอย่างหนังยาวเหยียดเกินกว่าครึ่งชั่วโมง ตั๋วหนังถูกขายในราคาที่สูงกว่าปกติอีก 20 บาท มันเป็นความจำเป็นตรงไหนกันครับ แล้วผู้บริโภคคือบุคคลที่คุณต้องผลักภาระให้ใช่หรือไม่ บางครั้ง ผู้บริโภคก็อยากจะถามกลับไปเหมือนกันว่า ถ้าหนังมีความยาวที่น้อยกว่าเรื่องอื่นๆ คุณยินดีที่จะลดราคาตั๋วลงหรือไม่ครับ