หลังจากวันแรกบนแผ่นดินญี่ปุ่นผ่านพ้นไปด้วยทริปแบบหลวมๆ ง่ายๆ ทว่าปิดท้ายด้วยการเดินขาลากแถบ Dotonburi ขาช้อปปิ้งเขาช้อปกันเพลิน เรายังคงจดๆ จ้องๆ อยู่ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ยังไม่รีบร้อนนัก แต่ก็พบว่าเมื่อกลับมาอาบน้ำที่พัก หัวถึงหมอนได้ไม่นานก็หลับปุ๋ยไปจนเช้า เนื่องจากสภาพร่างกายที่อดนอนตอนอยู่บนเครื่องบิน แม้จะได้นอนบ้างเมื่อบ่าย แต่ก็ไม่เหนื่อยล้ามากมายกับการเดิน
แต่วันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว แม้ไม่อยากจะลุกก็จำเป็นต้องลุก ว่าแต่วันนี้เราจะไปเที่ยวไหนกัน แพลนทุกอย่างที่ถูกปั่นจนละเอียด เหมือนต้องเริ่มกันใหม่ แต่ก่อนอื่นคงต้องอาบน้ำแต่งตัวกันก่อน แล้วเดินออกทานอาหารเช้า ณ ร้านใกล้ที่พักที่หมายตาเอาไว้ซึ่งน่าจะกลายเป็นที่พึ่งในทุกเช้าที่เหลือ…
ได้เวลาเล่าถึงวันที่สองในญี่ปุ่นกันแล้วสินะ
เสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2559
แน่นอนว่าร้านที่พึ่งยามเช้าของเราร้านนั้นคือ ‘Kitchen Origin’ ที่ร้านนี้มีทั้งเมนูข้าวปั้นชนิดต่างๆ ที่แพ็คห่อเอาไว้อย่างดี มีอาหารเมนูต่างๆ พร้อมเอาไว้ให้เราตักใส่ภาชนะพลาสติกก่อนนำไปให้เขาชั่งและคิดเป็นเงินอีกที นอกจากนี้ก็ยังมีเมนูอื่นๆ ให้เราสั่งเพื่อมานั่งทานในร้านหรือนำออกไปทานข้างนอกก็ได้
วันนี้ เราเลือกทานกันในร้านครับ
หลังจากท้องได้รับอาหารเช้าไปแล้ว ก็ได้เวลาที่ขาจะเดินบ้าง เราได้รับข้อมูลมาแล้วว่าวันนี้เราจะไปเที่ยวต่างเมืองกัน จุดหมายของเราคือ จังหวัดนารา (Nara) ซึ่งเราจะต้องนั่งรถไฟไปกัน
การเดินทางจากโอซากาไปนาราน่าจะไปได้หลายวิธี แต่เราเลือกใช้รถไฟของเอกชนเพื่อไปยังสถานี Kintetsu-Nara ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้ที่สุดที่จะไปยังวัดโทไดจิอันเป็นจุดหมายของเราวันนี้
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน Sakaisuji Line (K) โดยเราจะนั่งจากสถานี Dobutsuen-mae (K19) ไปลงที่สถานี Nippombashi (K17) แล้วต่อสาย Kintetsu Nara Line ไปลงที่สถานี Kintetsu-Nara (A28)
เหมือนเราจะยุ่งยากในการเดินทางกันพอสมควรเนอะ ซึ่งตอนนั้น เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ซื้อพวกตั๋ว Pass ก็ไม่รู้ เราซื้อตั๋ว 560 เยนสำหรับ Sakaisuji Line แต่ดันไม่ได้ซื้อตั๋วสายที่ต่อ เลยต้องไปจ่ายค่าตั๋วเพิ่มเติม (adjust) ที่สถานีปลายทาง
เท่าที่สังเกตดู สถานีรถไฟทุกแห่งไม่ต้องมีไม้กั้นกันคนตก แถมทางเดินบางส่วนยังแคบเดินผ่านได้ทีละคนเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงความระเบียบวินัยไม่ทำอะไรบ้าๆ บอๆ ไม่มีการชนกันจนตกลงไป …เหมือนบางประเทศ
เป็นการยืนไปด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควร ทางเริ่มจะไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเริ่มเห็นบ้านเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขา
เท่าที่ถ่ายรูปเก็บไว้ มีบางสถานีเท่านั้นที่รถไฟขบวนนี้จะจอด เท่าที่จำได้คือสถานี Tsuruhashi (A01), Gakuemmae (A20), Yamato-Saidaiji (A26) เราลงที่สถานี Kintetsu-Nara (A28) ออกทาง East Exit เจอกับร้าน Lawson ที่โผล่ขึ้นตรงหน้าพอดี
เดินตรงไปเลย เฉียดร้าน Lawson ไปบนทางลาดเอียง มุ่งสู่ Nara Park
ไม่นานเราก็เริ่มเจอกับกวางตัวเล็กตัวน้อยที่คอยต้อนรับเราอยู่ เขาจะมีอาหารกวางขายถุงละ 150 เยน เมื่อใดก็ตามที่คุณมีอาหารกวางถืออยู่ในมือ เหล่ากวางจะเข้ามาหาคุณ
ถ้าคุณมีอาหารอยู่ในมือแล้วไม่ให้มันก็อาจจะโดนมางับกางเกงบ้าง เป้บ้าง จนกว่ามันจะไม่เห็นอาหารในมือคุณอีก
ช่วงนี้ก็จะให้อาหารกวางและถ่ายรูปกันอุตลุดเลยล่ะ
จริงๆ แล้วกวางก็ไม่ได้ก้าวร้าวอะไรมากขนาดนั้นนะ เราสามารถจะจับและลูบตัวมันได้ด้วยซ้ำ แต่มันจะมีกลิ่นตัวบ้าง ก็ทนๆ เอาหน่อย ระวังจะเหยียบขี้มันก็แล้วกัน
สาละวนกันอยู่พักใหญ่ ก็เดินผ่านอุโมงค์ที่สร้างลอดข้ามสี่แยก ข้างในอุโมงค์อากาศเย็นมากแถมมีลมพัดเข้ามาอีก เดินผ่านโน่นนี่นั่นแต่เราไม่สนใจ เดินกันมาจนถึงทางเข้าวัดโทไดจิ (Todai-ji Temple) ที่อยู่ทางด้านซ้ายของถนน วัดที่บางคนเรียกว่า วัดหลวงพ่อโต นั่นแหละ
ทางเข้าวัดจะเต็มไปด้วยร้านรวง ทั้งที่ขายของกินและขายของที่ระลึกมากมายเรียงรายกันเพื่อเรียกเงินในกระเป๋าของพวกคุณ
ระยะทางก็ดูไม่ไกลนะ แต่สำหรับคนบางคน มันคงเป็นระยะทางที่ไกลมาก เมื่อต้องผจญกับร้านไอศกรีม ร้านสตรอว์เบอร์รี่แช่แข็ง ร้านดังโงะ และร้านอะไรต่อมิอะไรตามรายทาง ไหนจะหยุดถ่ายรูปครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ในที่สุด เราก็เดินมาถึงหน้าประตูทางเข้า Todai-ji Temple จนได้สิน่า
วันนี้ ผู้คนมากหลายแท้ที่มาเที่ยววัดแห่งนี้ จะถ่ายให้ไม่ติดคนคงยาก ด้วยความเบื่อพวกเสพติดการถ่ายรูปตัวเองกับสถานที่ทำให้เลือกจะเดินไปถึงวัดก่อนแล้วจึงรอเข้าวัดพร้อมกัน มาถึงแล้วก็ถ่ายประตูเสียหน่อย ที่นี่มียักษ์เฝ้าประตูอยู่สองตน
เท่าที่สังเกตดู ประตูทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ล้วนๆ
เมื่อเราเดินมาถึงด้านหน้าวัด ก็พบที่นี่เขาจะปิดไม่ให้เข้าทางด้านหน้า แต่จะให้เราเดินเลี้ยวไปเข้าทางด้านซ้าย ซึ่งจะมีห้องน้ำให้บริการอยู่ก่อนทางเข้า เราจะต้องเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนเพราะเขาแจ้งว่าข้างในจะไม่มีสุขาให้เข้า
ถ้าปวดฉี่ปวดอึก็ต้องวิ่งแจ้นกลับมาเข้าข้างนอกนะจ๊ะ
จ่ายค่าเข้ากันคนละ 500 เยนสำหรับผู้ใหญ่ 300 เยนสำหรับเด็ก (ถ้าใช้พวก Osaka Amazing Pass อะไรเทือกๆ นั้นก็เข้าฟรีจ้ะ)
ก็เดินตามๆ เขาไป แอบเห็นเขาถ่ายรูปกันก็เลยไปแจมๆ ถ่ายมาด้วย ได้รูปประมาณนี้…
ก่อนขึ้นไปบนวิหาร จะมีศาลาเล็กๆ ที่มีน้ำไหลรินตลอดเวลา เอาไว้ชำระล้างเพื่อความสะอาดและดื่มกิน แต่ก็ไม่มีใครกล้ากินนะ ในคณะเราเนี่ย
ได้เวลาเดินขึ้นวิหารที่สร้างเอาไว้ใหญ่ตระการตามากๆ ภายในคือพระพุทธรูปองค์ขนาดมหึมา ยิ่งใหญ่มาก ทั้งวิหารและหลวงพ่อองค์โต เดินเวียนขวาชมนิทรรศการประวัติรวมทั้งแบบจำลองของวิหารหลังนี้ที่อยู่ในยุคต่างๆ ปิดท้ายด้วยร้านขายไปรษณียบัตรและของที่ระลึก
เข้าห้องน้ำกันอีกครั้งก่อนจะเดินกลับ ระหว่างทางเดินกลับก็เดินสำรวจไปด้วย มีการพัฒนาที่ดินเป็นคอมมิวนิตี้มอลกลายๆ ภายในมีร้านอาหารหลากแบบ แต่เราพบว่าราคาค่อนข้างแพงเกินตัวเรา จึงเลือกจะเดินออกมาแล้วกลับไปตรง Lawson เลี้ยวซ้ายเข้าไปในโซนย่านการค้า
ที่นั่นมีทั้งร้านอาหาร ร้านสินค้า Tax-Free Shop มากมาย รวมทั้งร้าน Daiso ที่ชาวคณะชอบเข้ากันเสียจริงๆ สุดท้ายเลือกแวะทานอาหารกันที่ร้าน St. Marc Cafe (ที่ได้ข่าวว่ามาเปิดสาขาในไทยเรียบร้อยแล้ว) สั่งสปาเกตตี้มาทาน รสชาติพอใช้ได้ ที่นี่มีเมนูไอศกรีมด้วย แต่ก็ไม่ได้สั่งมาลองทานแต่อย่างใด
เมื่อเห็นได้ควรแก่เวลา เปลี่ยนจากโหมดท่องเที่ยวไปสู่โหมดช้อปปิ้ง จุดหมายวันนี้ คือการค้นหา Onitsuga Tiger Shop ด้วยความที่ศึกษามาไม่ดีพอ ทำให้ต้องเดินทางไปหลายที่ ทั้งที่ห้าง Namba Park ซึ่งพบว่าปิดบริการลงไปแล้ว และย้ายไปที่ห้าง Hankyu Umeda Main Store ที่ก็พบว่ามันเป็นมุมเล็กๆ เท่านั้น มีเพื่อนร่วมคณะแจ้งว่าพบว่า Onitsuga Tiger Shop อยู่ที่ย่านนัมบะ เราจึงต้องเดินทางไปมาด้วยรถไฟใต้ดินจนเมื่อยขาไปหมด
และพบว่าแอป City Rail Map และ Google Maps ช่วยเราไว้ได้เยอะจริงๆ ในการเดินทางหาสถานที่ในโอซาก้า ในที่สุด เราก็ได้รองเท้าตามที่ต้องการ การช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่นนี่ดีอยู่อย่างคือ ร้านมักจะแปะราคาที่คืนภาษีให้อยู่แล้ว ไม่ต้องเอาใบเสร็จไปทำเรื่องคืนภาษีที่สนามบินอย่างหลายๆ ประเทศ อาจเพราะญี่ปุ่นเชื่อในความซื่อสัตย์ของคน แถมเมื่อพนักงานร้านคิดเงิน ยังลดให้อีก 1,000 เยนอีกด้วย มั่นใจได้เลยว่าซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้ที่ญี่ปุ่นถูกกว่าซื้อเมืองไทยแน่นอน
นอกจากนี้ ก็ยังได้เสื้อยืดเนื้อผ้าดีราคาไม่แพงจากร้าน GU มาด้วย สิ้นสุดภารกิจช้อปปิ้งของวันนี้แต่เพียงเท่านี้เถอะนะ
ช่วงค่ำคืนเริ่มจะไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปแล้ว ขอจบบทความวันที่สองในญี่ปุ่นแต่เพียงเท่านี้ดีกว่า
แล้วมาเจอกันในวันต่อไปนะ
อ่านเรื่องราว “Pat in Japan” ทุกตอนได้ที่นี่