สำหรับคนที่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้ไปเยือนประเทศที่หลายๆ คนใฝ่ฝันจะไปถึงอย่าง “ญี่ปุ่น” การจะได้ไปเป็นครั้งแรกก็ย่อมจะตื่นเต้นดีใจเป็นธรรมดา พยายามเจียดเงินจำนวนหนึ่งที่เก็บเอาไว้เพื่อจะไปทำสิ่งที่อยากทำมานานให้สำเร็จสักครั้ง แม้ว่ามันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ล่าช้าไปหน่อยก็ตาม
การเตรียมตัวเดินทางไปญี่ปุ่นนั้นยาวนานกว่าการไปเที่ยวจริงๆ นิดหน่อย ด้วยเพราะหนนี้ไม่ได้จัดทริปเอง ได้แต่อาศัยตามเขาไป อีกเหตุหนึ่งคือมีคนที่คุ้นเคยเส้นทางอยู่ในกรุ๊ปด้วยแล้ว นั่นแหละ เป็นสาเหตุที่ทำให้มานั่งจัดกระเป๋าเอาในวันจะออกเดินทาง
พฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2559 ราว 18.00 น.
หลังจากออกเดินทางมาตั้งแต่ช่วงบ่ายเพราะไม่อยากจะมารีบๆ ลนๆ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก็ถึงเวลาที่จะออกเดินทางกันเสียที เที่ยวบินที่เราเลือกใช้นั้นเป็นแบบที่ต้องต่อเครื่องที่ฮานอย/เวียดนาม ทำให้การเดินทางครั้งนี้ออกจะกินเวลาหลายชั่วโมงหน่อยกว่าจะไปถึงจุดหมาย
กินเวลาอยู่นานทีเดียวกับการเช็คอิน ก่อนจะเข้าสู่จุดรอขึ้นเครื่อง แล้วเราก็ได้ลัดฟ้ามุ่งสู่ฮานอย ท่าอากาศยานนอยไบ (HAN) ที่เราต้องนั่งนรออยู่ราว 3 ชั่วโมงก่อนจะได้บิน หลายคนเลือกที่บินตรงด้วยราคาที่แพงกว่าก็เพราะจะได้ไม่ต้องมานั่งแกร่วเช่นนี้
ราว 6 โมงกว่าตามเวลาญี่ปุ่น…
เรามาถึงแล้ว ท่าอากาศยานนานชาติคันไซ (KIX) ที่เกิดจากการถมทะเล สนามบินอยู่ห่างจะแผ่นดินราว 5 กิโลเมตร เชื่อมต่อกันด้วยทางรถไฟ
ผมนั่งรออีกราวชั่วโมงกว่าเพื่อนร่วมทริปที่มาอีกไฟลต์หนึ่งจะเดินทางมาสมทบ หลังจากนั้น ก็ได้เวลาท่องโอซาก้าในวันแรกที่มาถึงกันละ
ศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2559
เช้าของวันนั้น ผมได้แต่เฝ้าดูผู้คนที่หน้าตาไม่คุ้นเคยที่แวะเวียนกันมาทานกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ แถม Starbucks Coffee พวกเขาดูมีความสุขดีกับชีวิตที่ดูไม่เร่งรีบนัก แต่ชีวิตที่น่าสนใจกว่าคือพนักงานที่ดูขยันขันแข็ง ทำทุกอย่าง ต้อนรับและให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ จนถึงเวลาเลิกงานของตนเอง
เอาล่ะ ได้เวลาเดินทางไปห้องพักกันแล้ว
ที่นี่ ระบบขนส่งมวลชนทางรางนั้นพัฒนาถึงขีดสุด เพราะฉะนั้น วิธีที่เราจะใช้เดินทางกันตลอด 5-6 วันที่นี่ก็จะไม่พ้นรถไฟ(บางทีก็รถไฟฟ้าซึ่งบางทีเราก็แยกไม่ค่อยจะออกเหมือนกัน) เริ่มต้นจากการขึ้นรถไฟจากสนามบินคันไซไปจากอพาร์ตเมนต์ที่เราเช่ากันไว้จาก airbnb ซึ่งมันอยู่แถบชินเซไก (Shinseikai) ในจังหวัดโอซาก้า (Osaka) อันเป็นย่านที่คึกคักมากในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันดูเงียบเหงาไปมากเลยล่ะ
การเดินทาง: รถไฟฟ้านันไค (Nankai) แบบ Rapi:t ปลายทางที่สถานี Namba เราจะนั่งจากสถานี Kansai Airport ไปลงที่สถานี Shin-Imamiya
ค่าใช้จ่าย: 1,130 เยน
รถไฟฟ้าของนันไคมีที่นั่งให้เรียบร้อย มีพื้นที่สำหรับเก็บกระเป๋าอยู่ท้าย มีป้ายและประกาศบอกสถานีถัดไปและสถานีถัดจากนั้น สะดวกมากมาย สมาชิกทั้งหลายหลับกันเกลี้ยงเพราะบนเครื่องบินได้นอนกันน้อยมาก
แว้บแรกที่ได้เห็นบ้านเมืองในญี่ปุ่น ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า ที่นี่มีแต่บ้านรูปทรงคล้ายกับบ้านของโนบิตะเต็มไปหมดเลย ขณะที่ตึกรามก็เหมือนปูด้วยกระเบื้องสี Earth Tone เหมือนๆ กันไปหมด อะไรจะเป๊ะเช่นนี้ บ้านเมืองก็ดูสะอาดตา เขตรถไฟจะถูกกั้นด้วยกำแพงสูง ทุกจุดที่ตัดกับถนนจะมีไม้กั้นเสมอ
รถไฟฟ้า Rapi:t จะจอดไม่บ่อยนัก ใช้เวลาในการเดินทาง 35 นาที เราก็มาถึงสถานีจุดหมาย แต่ทว่า ด้วยความไม่ชำนาญอะไรเลยสักอย่างในประเทศนี้ สุดท้ายก็ต้องเดินไปเดินมาในแถบนั้นอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็เจอที่พักจนได้
โดยเราแบ่งเป็น 2 ทีม พักกันอยู่คนละอพาร์ตเมนต์ ไม่ห่างกันมากนัก
หลังจากพักผ่อนกันไม่นาน การเดินทางก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง กิน-เที่ยว-ช้อป ครบสูตรกันเลยทีเดียว จุดหมายคือห้างดังชื่อ Takashimaya ที่นี่จะมีสินค้าแบรนด์เนมให้เลือกช้อปมากมาย อยู่ติดกับสถานีนัมบะ (Namba)
การเดินทาง: รถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line (สายสีแดง) ปลายทางที่สถานี Senri-chuo เราจะขึ้นจากสถานี Dobutsuen-mae (M22) ไปลงที่สถานี Namba (M20) ขึ้นทางออก 4
ค่าใช้จ่าย: 180 เยน
เป็นหนึ่งในสถานีที่ยุ่งเหยิงสำหรับมือใหม่เที่ยวญี่ปุ่น เพราะลงไปใต้ดิน คุณจะเจอกับรถไฟหลายสายที่มาเชื่อมโยงอยู่ในสถานีเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ก่อนว่าจะไปสายไหน จุดหมายคือที่ใด แถมสถานีนี้ยังเชื่อมโยงกับห้างต่างๆ ที่อยู่ข้างบน จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องจำให้ได้ว่า ห้างไหนต้องขึ้นที่ทางออกใด
ผมไม่แน่ใจนะว่าจะบอกรายละเอียดการเดินทางแบบนี้ได้จนจบทริปหรือเปล่า จริงๆ แล้วคือไม่ได้จดอะไรไว้เลย อาศัยจำเอาจากรูปที่ถ่ายๆ เก็บไว้เท่านั้น
ที่นี่ ผู้คนเขามีระเบียบกันมากครับ รถจะหยุดให้คนข้ามเสมอ และคนก็จะข้ามก็ต่อเมื่อสัญญาณคนข้ามเป็นสีเขียว ถ้ามันยังแดงอยู่ เขาจะไม่ข้ามกันเลยครับ
จากห้างเราเดินไปรอบๆ เพื่อหาอะไรทานกัน ไม่มีคำแนะนำอะไรนอกจากอยากลองกินร้านไหนก็ลอง อย่างพวกเราลองเดินเข้าไปในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งเพราะเห็นว่ามีที่นั่ง หน้าร้านมีตู้ให้กดสั่งอาหาร ได้บัตรใบเล็กๆ มาก็ส่งให้พนักงาน นั่งรอแล้วก็ทานกัน เมนูที่สั่งเป็นชุดข้าวแฮมเบิร์กหมูไข่ดาว เสิร์ฟพร้อมซุปมิโซะและสลัด 650 เยน อร่อยดีทีเดียว
ตัวช่วยชั้นดีของการเดินทางในญี่ปุ่น คือ แอพ City Rail Map ครับ ถ้าคุณรู้สถานีต้นและปลายทางที่จะไป กรอกแล้วให้มันหาเส้นทางให้ ระบุให้เลยว่าต้องใช้สายใดผ่านสถานีไหนบ้าง ง่ายมากเลยครับ
เราเดินกันไปเรื่อยเปื่อยจนผมบอกไม่ถูกแล้วว่าไปยังไง เท่าที่รู้ เราไปแวะกันแถบ Ebisubashi ที่นั่นมีห้าง Daiso ที่ค่อนข้างใหญ่ ช้อปสินค้ากันเพลินไปเลย ข้างๆ กันก็มีร้านมือสองที่ใหญ่มากๆ ชื่อ Book-Off ตรงข้ามมีร้านขายรองเท้า ABC Mart
ด้วยความอ่อนเปลี้ยจากการอดนอนมาทั้งคืน เลยต้องขอตัวเดินทางกลับที่พักไปนอนเอาแรงก่อน
เพื่อจะพบว่าตอนค่ำเราจะกลับมาช้อปปิ้งกันต่อที่เดิม…
มืดแล้ว อากาศที่นี่เริ่มเย็นลง (ซึ่งต่างกับกลางวันที่แดดร้อนพอสมควรเลย) จนต้องหยิบคาร์ดิแกนมาใส่
พวกเราเดินทางไปแถว Dotonburi ในย่าน Minami ที่มีคลองสายโด่งดังและอาคารพาณิชย์ที่ประดับแสงสีชวนตื่นตา ที่ตั้งของแลนมาร์กสำคัญ นั่นคือ ป้าย Glico ที่คนไทยมักจะไปแชะและเช็กอิน ที่นี่คือแหล่งช้อปปิ้งสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะจะมีร้านแบรนด์ดังตั้งอยู่ แถมยังมีร้านขายยา-เครื่องสำอาง ร้านรวงต่างๆ ที่เป็น Tax-free Shop ที่ร้านจะคืนภาษีให้ทันทีที่จ่ายมากกว่าขึ้นต่ำที่กำหนดไว้
การเดินทาง: รถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line (สายสีแดง) ปลายทางที่สถานี Senri-chuo โดยเราจะขึ้นจากสถานี Dobutsuen-mae (M22) ไปลงที่สถานี Shinsaibashi (M19) ขึ้นทางออก 4
ค่าใช้จ่าย: 180 เยน
น่าตื่นตาตื่นใจมากมายกับลีลาการจัดร้าน ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน ที่นี่มีร้าน Little Osaka ที่ขายสินค้า Glico เต็มร้านด้วยนะครับ
เช่นเดิม เราเลือกร้านราเมงเป็นที่ฝากท้องปะทังหิว กดตู้จ่ายตังค์แล้วขึ้นไปรออาหารที่ชั้นสอง พนักงานร้านนี้จะส่งเสียงกันโขมงโฉงเฉงมาก บางครั้งเล่นตะโกนใส่หูลูกค้ากันเลยทีเดียว ราเมงชามโตราคาราว 950 เยน ชามโตมาก อย่านึกว่ากินไม่หมดนะ ไม่เหลือต่างหาก
อิ่มหมีพีมันแล้วก็ได้เวลากลับอพาร์ตเมนต์
คืนแรกก็แทบเปลี้ยเสียแล้ว อาบน้ำเสร็จ หัวถึงหมอนนอนหลับปุ๋ย
… ยันเช้า
แล้วมาเจอกันใหม่ตอนสองนะครับ ^ ^
อ่านเรื่องราว “Pat in Japan” ทุกตอนได้ที่นี่
2 คอมเมนต์