หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ในคืนอันเหน็บหนาวที่หาได้ยากยิ่งในเมืองหลวง เพราะในวันที่เมืองหลวงร้อนตับแล่บ โคราชยังต้องห่มผ้าห่มหนาๆ และยังคงมีลมเย็นปะทะผิวกายในยามเช้า
อาทิตย์.27.มกราคม.2551
พวกเราตื่นขึ้นอย่างไล่เรียงกันไป ผมเองก็ตื่นเช้าผิดจากทุกวัน เพราะนอนเร็วกว่าปกติ มื้อเช้าวันนี้ เป็นข้าวต้มหมู อร่อยใช้ได้ บรรยากาศยามเช้า ลมเย็นๆ พัดผ่านกาย สดชื่นดีจัง
หลังจากอาบน้ำ เก็บข้าวเก็บของกันแล้ว ก็ได้กาลร่ำลาคุณพ่อคุณแม่ของปุ๊ก ถ่ายรูปรวมกันเสียหน่อย ก่อนที่จะเดินทางไปท่องป่ากันต่อ
วันนี้ เราจะไปเที่ยว “เขาใหญ่” กันครับ หลังจากเลาะเลียบเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มาวันนึง วันนี้ ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปเที่ยวข้างในกันอีกครั้ง
ก่อนจะไปถึง เราแวะปั๊มกันก่อนครับ เพราะมีหลายคนอยากกินกาแฟที่ Cafe’ Amazon ผมก็เลยสั่งชาเขียวมากินบ้าง หันไปเห็นสวนที่เขาจัดไว้สวยดี เลยเดินเข้าไปเก็บภาพมาฝาก
เขาใหญ่เป็นเหมือนดินแดนแห่งความทรงจำของพวกเราครับ เขาเคยมาเที่ยวด้วยกันครั้งหนึ่ง ในช่วงที่เรียนด้วยกัน นอกจากนั้น ผมก็ยังเคยมาเที่ยวอีก 2-3 หน เรียกได้ว่า คุ้นเคยกับทัศนียภาพต่างๆ แม้จะผ่านไปนานแล้วก็ตาม
เปอร์โยต์ สีเลือดหมู กับ ฟอร์จูนเนอร์ป้ายแดง สีดำ พาเราเริ่มต้นกันที่ทางเข้า ไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่กันก่อน…
หลังจากนั้น เราก็มุ่งเข้าป่า เปิดกระจกรับลมและกลิ่นไอของป่าเขา ไปจนถึงที่พักรถและหาข้าวกันกัน ระหว่างที่ยืนสั่งข้าวกันอยู่นั้น สายตากก็เหลือบไปเห็นสิ่งเคลื่อนไหวด้านล่างหลังร้าน…
จริงๆ มันมากัน 3 ตัวครับ เพื่อนๆ ผมไม่มีใครเห็น จนผมเอาภาพที่ถ่ายไว้ไปให้ดู เพื่อนๆ ถึงได้ไปยลมันใกล้ๆ กัน ดูท่าจะคุ้นเคยกับคนไปเสียแล้ว นั่งนอนก็หน้าตาเฉยเลยเชียวนะพวก
เอาล่ะ ท้องอิ่มแล้ว เดินทางกันต่อ จุดหมายแรกของพวกเรา ว่าจะไป “ผาเดียวดาย” ที่ซึ่งผมก็ไม่เคยไปเยือนเลยแฮะ ดีเหมือนกัน ลองไปเสียหน่อย
เดินลงจากทางที่จะขึ้นไปเขาเขียว เลาะลัดไปในป่าไม่ไกล ก็มาเจอผาเล็กผาน้อยให้ถ่ายรูปกัน ไม่ว่าจะเป็น ผาพญาไม้ และ ผาพญานาคราช ตรงผาพญานาคราชนี่แหละเสียวมาก ตอนที่ไปนั่งถ่ายรูปกัน แล้วรู้สึกได้หินมันสั่นๆ ขณะที่มีใครขยับตัว เลยชักแหยงๆ ขอถอยออกมาดีกว่า
เอาละ เราไปถึง “ผาเดียวดาย” กันเสียที
ผาเดียวดายเป็นผาโล่งๆ เป็นแผ่นหินที่ค่อนข้างเรียบขนาดใหญ่ ไปยืนอยู่ตรงนั้น อาจจะรู้สึกเดียวดายดั่งชื่อได้เหมือนกัน แต่ว่า รู้สึกเสียวมันมีมากกว่าเท่านั้นเอง
เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว เราไปยังจุดหมายต่อไปกันดีกว่า…
ตอนแรก เราคุยกันว่า อยากไป น้ำตกเหวสุวัต และน้ำตกเหวนรก แต่เมื่อดูเวลาแล้ว เราคงไม่อาจทำเวลาได้ขนาดนั้น จึงเลือกได้ที่เดียว คือ น้ำตกเหวนรก
น้ำตกช่วงนี้น้ำน้อยมาก คำเตือนบอกเอากันนักท่องเที่ยวผิดหวัง ประมาณ “ข้าบอกเอ็งแล้วนะ” แต่พวกเราก็เดินเข้าไป ทางเดินเป็นปูนเรียบ เดินได้สะดวก สะพานก็ทำใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม(จากครั้งก่อน) ผ่าน 6 สะพาน เราก็ไปถึงน้ำตก ที่เห็นได้ชัดว่า น้ำน้อยมากจริงๆ
ในที่สุด เราก็ลงบันไดชันๆ มาถึงข้างล่าง ที่มองเห็นสายน้ำตกเหวนรกอันสูงชันได้ถนัดตา แต่ทว่า ไหนล่ะ…น้ำตก?
เดินไปก็บ่นไปว่า พวกเรานี่แปลกเนอะ จัดตารางเที่ยวกันแปลดี ไปขึ้นภูสอยดาวหน้าหนาว ที่ดอกหญ้าหงอนนาคโรยราไปแล้ว แล้วยังมาเที่ยวน้ำตกเหวนรกในหน้าแล้ง เห็นสายน้ำเล็กกระจิ๋วเดียว
…. -_-”
แล้วพวกเราก็ต้องกลับขึ้นไปด้วยบันไดอันแสนชันอันเก่า เ้หนื่อยหอบแฮ่กๆ ไปตามๆ กัน เหงื่อชุ่มกาย ไปนั่งพักกินน้ำกันก่อนตามธรรมเนียม แล้วก็ได้เวลากลับกรุงเทพฯ กันแล้วสินะ
…รถสองคัน แยกกันกลับ ถึงบ้านใครบ้านมันในค่ำคืนวันนั้น
สิ้นสุดลงแล้ว ทริปเล็กทริปน้อยของพวกเรา
เล่าซะเห็นภาพเลยนะครับ
…
ปล.ใช้กล้องรุ่นไหนอยู่เหรอครับ?
ของผมใช้รุ่นเล็ก Olympus E-500 ครับ มิมีปัญญาซื้อรุ่นใหญ่ๆ ใช้อะ
ของผมใช้รุ่นเล็ก Olympus E-500 ครับ มิมีปัญญาซื้อรุ่นใหญ่ๆ ใช้อะ
Olympus E-500 ก็ดีแล้วครับผม
ดีกว่าผม ยังไม่มีปัญญาซื้อ SLR เลยซักตัว T-T
Olympus E-500 ก็ดีแล้วครับผม
ดีกว่าผม ยังไม่มีปัญญาซื้อ SLR เลยซักตัว T-T
รูปสวยเนอะ ^0^
รูปสวยเนอะ ^0^
สวยครับ ผมอยากไปสักครั้ง
สวยครับ ผมอยากไปสักครั้ง
เสียดายน้ำตกสายเล็กกระจิ๋วเดียว แต่ก็ยังถ่ายรูปสวยเหมือนเดิมนะครับ
เสียดายน้ำตกสายเล็กกระจิ๋วเดียว แต่ก็ยังถ่ายรูปสวยเหมือนเดิมนะครับ
ไปมาแล้วครับ เที่ยวน้ำตกเหวนรก ต้องไปหน้าฝนครับทางเดินไปน้ำตกสวยงามมาก เป็นแบบเดินศึกษาธรรมชาติ ทางเดินลัดเลาะไปตามไหล่เขาร่มเย็นดีครับ น้ำไหลแรง แต่อันตรายมากๆ
ไปมาแล้วครับ เที่ยวน้ำตกเหวนรก ต้องไปหน้าฝนครับทางเดินไปน้ำตกสวยงามมาก เป็นแบบเดินศึกษาธรรมชาติ ทางเดินลัดเลาะไปตามไหล่เขาร่มเย็นดีครับ น้ำไหลแรง แต่อันตรายมากๆ