แล้วนายแพทก็ออกทะเลอีกครั้ง…
ผมกับทะเล จะว่าไป จริงๆ ก็ไม่ได้ถูกกันมากนัก ด้วยเพราะตัวเองไม่สามารถดำรงตนอยู่ในน้ำที่ลึกกว่าความสูงตัวเองได้ แต่ก็กลับพบว่า ตัวเองชอบสัมผัสกับน้ำอย่างมาก แม้น้ำนั้นจะอุดมไปด้วยเกลือก็ตาม ทริปไปทะเลของผมจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ด้วยจุดประกายที่เกิดมาจากเพื่อนที่สนิทมาตั้งแต่สมัยเรียน
ครั้งนี้เพื่อนชวนเที่ยวไกลมาก มากถึงเกือบใต้สุดของประเทศไทย แม้ผมจะเคยไปเยือนใต้อยู่หลายหน แต่ก็ไม่เคยไปไกลถึงเกือบสุดเขตแดนใต้ เลยไปอีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะข้ามเข้าสู่แดนมาเลเชียแล้ว (เสียดายที่ไม่ได้เอาพาสปอร์ตไป) ครั้งนี้ เราไปเที่ยวเกาะอีกแล้วครับ ครั้งนี้เป็น เกาะหลีเป๊ะ ณ จังหวัดสตูล
เย็นย่ำของวันศุกร์ที่ 2 เม.ย. 53 ที่ผ่านมา
ผมรีบรุดไปยังจุดนัดหมายแถบสีลม เจอกับน้องที่ทำงานแถวนั้น เราสองคนเดินทางไปยังสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ เพื่อรับประทานข้าวเย็นและขึ้นรถทัวร์ลงใต้ ปรากฏว่า เพื่อนของเราเขาเล่นมาถึงสายใต้ใหม่แบบไม่เผื่อเวลา ทำให้รถต้องออกจากชานชาลาล่าช้าไปครึ่งชั่วโมง เหอๆ
เอาล่ะ เวลาของค่ำคืนมาถึง รถทัวร์วีไอพี 24 ที่นั่ง เคลื่อนย้ายเราสู่จังหวัดต่างๆ มุ่งสู่จุดหมาย แวะพักให้เรารับประทานข้าวต้มมื้อดึกยามห้าทุ่ม ที่ ปราณบุรี ก่อนวิ่งฉิวถึงสตูล จำได้ว่าผ่านด่านตำรวจอยู่หนนึง รถจอดนิ่งสนิทพร้อมกับเปิดไฟจ้าเต็มคัน ไม่พอตำรวจยังขึ้นมาเอาไฟฉายส่องหน้าอีกต่างหาก แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป
สายๆ ของวันเสาร์ที่ 3 เม.ย. 2553
เราลงที่ อ.ฉลุง เพื่อนั่งแท็กซี่คันหรูที่บริษัททัวร์ของเราจัดมาให้ บริการดีเหลือหลาย ไม่ใช่ใคร อาดังซีทัวร์นั่นเอง แท็กซี่คันดำที่คนขับดูท่าจะชอบเร้กเก้ พาเรามาถึงท่าเรือปากบารา
มื้อแรกบนดินแดนใต้บังเกิดขึ้น ณ คูหาใกล้ๆ กับอาดังซีทัวร์ ก่อนจะได้รับการต้อนรับอย่างดี เราไม่ต้องทำอะไรมากนอกจาก ปล่อยกระเป๋าให้เขาเอาไปขึ้นเรือ รอเพียงเวลาเท่านั้น
11.00 น.
เรือเฟอร์รี่สภาพไม่ใหม่นักพาเราออกจากท่า มุ่งหน้าสู่จุดมุ่งหมายแรก “เกาะตะรุเตา” …
อาจเป็นเวลาที่นานอยู่ไม่น้อย เวลาชั่วโมงกว่า รึอาจจะถึงสองชั่วโมงในเรือเฟอร์รี่ กับการนั่งๆ นอนๆ ซึมไปเพราะฤทธิ์ยาแก้เมา ประจวบกับไม่ใคร่ได้หลับบนรถทัวร์ ในที่สุดก็ถึงจุดหมาย เกาะแรกที่เราจะขึ้นไปเหยียบ สถานที่ตั้งของ “อุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตา” ที่กินพื้นที่เท่าๆ กับขนาดของกรุงเทพเมืองฟ้าอมร
ด้วยอากาศที่ร้อนแสนร้อน แสงแดดจ้ามาก เมื่อต้องกับทรายที่ขาวนวลๆ เรียกได้ว่า ต้องหรี่ตากันทีเดียว แม้จะได้ภาพสวยๆ ของฟ้า ทราย และทะเล แต่การต้องออกไปยืนถ่ายรูปกลางแดดร้อนขนาดนั้น ดูจะเป็นการเริ่มต้นที่โหดร้ายสำหรับตัวเองมากเกินไปหน่อย ในที่สุดก็ได้เวลาทานข้าวเที่ยง ทีมงานของทัวร์ใครทัวร์มัน จัดอาหารกลางวันมาดูแลลูกทัวร์ของตน มีทั้งน้ำอัดลมทั้งส้มและแดง ตบท้ายด้วยแตงโม
อิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็เริ่มเดิมเล่นกันต่อ เดินเรื่อยมาจนถึงจุดบรรยายจากเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ เปิดเผยเรื่องราวของตะรุเตาในอดีต ที่ต้องผ่านการเป็นคุกและดินแดนแห่งการปล้นของโจรสลัด ผู้บรรยายค่อนข้างเก่งในการเล่นมุกพอสมควร พร้อมกับดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้ดี นอกจากให้ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะตะรุเตาและเกาะใกล้เคียงแล้ว ก็ยังมีคำเตือนดีๆ เกี่ยวกับการดำน้ำ ที่ควรวอร์มก่อนลงดำ และไม่ควรดื่มกินทันทีหลังขึ้นจากน้ำ, เกี่ยวกับสิ่งที่ควรปฏิบัติในการเที่ยวชมอุทยานฯ เช่น ไม่ควรให้อาหารลิง เพราะจะทำให้สัตว์สูญเสียสัญชาตญานป่าในการหาอาหาร การรักษาสภาพของสิ่งแวดล้อม เก็บมาเพียงภาพถ่าย เก็บไว้ในความทรงจำ, คำบอกเล่าถึงการขโมยซึ่งผิดกฎหมาย และอะไรต่อมิอะไรท่ามกลางเสียงครืนๆ ของฟ้า คำบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่ฯ บอกว่า เราจะเป็นทีมแรกที่นำพาฝนมาสู่ตะรุเตา หลังฝนทิ้งช่วงไม่ยอมตกมาเป็นเดือนๆ
ไม่อยากบอกว่า ข้าพเจ้า “มากับฝน” เสมอๆ ไปไหน ฝนก็มักจะตกที่นั่น
เสร็จสิ้นการบรรยาย พวกเราก็ยกโขยงกันขึ้นเรือ เดินทางไปจุดหมายที่สองของวันนี้ เกาะไข่ เกาะชื่อนี้นี่มีอยู่หลายที่จริงๆ ไปไหนก็เจอแต่เกาะไข่ แต่วันนี้ เราจะได้ชื่นชมกับความสวยงามของมันไหมหนอ
เมฆฝนลอยทะมึน ระหว่างที่เรือเฟอร์รี่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเล เห็นแนวฝนที่ตกในทะเลอยู่ไม่ไกล เมื่อเรือลอยลำไปเรื่อยๆ ในที่สุด มันก็ตกอยู่ในวงล้อมของฝน เป็นครั้งแรกที่ต้องอยู่กลางทะเลที่ฝนกำลังตก น้ำฝนสาดกระเซ็นเข้ามาภายใน แม้เปียกก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ภารกิจรักษากระเป๋ากล้องมาเป็นอันดับแรก เรือเริ่มลดความเร็วลงด้วยทัศนวิสัยที่แคบกว่าเดิม ในที่สุด ฝนซาลงพร้อมๆ กับที่เรือมาถึงเกาะไข่
ผมเดินขึ้นไปถ่ายรูปแชะแรก ก่อนที่ทีมงานจัดเตรียมบันไดให้พวกเราขึ้นเกาะ ภาพที่เห็น “มันสวยมาก” ทรายขาวนวลและละเอียด ตัดกับสีน้ำทะเลสีเขียวมรกตใส และท้องฟ้าสีหม่น เกาะสวรรค์หรือไรนั่น
มองไปอีกด้าน เห็นแล้ว ประตูหินธรรมชาติที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของจังหวัดสตูล
ถ่ายรูปกันอย่างเมามัน ว่าจะเดินไปยังประตูหินเสียหน่อย ฝนเจ้ากรรมก็ดันกลับมาตกอีกครั้ง จำต้องเก็บกล้องลงกระเป๋าและเอาผ้าร่มคลุมไว้ ทุกคนกลับขึ้นเรืออีกครั้งอย่างเสียดาย
เอาล่ะ เดินทางไปยังเกาะที่เราจะพักกันเสียที เกาะหลีเป๊ะ รอเราอยู่ไม่ไกล
16.30 น.
เรือเฟอร์รี่ลำเดิมพาเรามาถึงจุดหมายปลายทาง เกาะหลีเป๊ะ เกาะเล็กๆ ที่ดูราบเรียบอย่างกับกระดาน นั่นเป็นที่มาของชื่อ “หลีเป๊ะ” มีเรือเล็กมารอรับเราจากเรือเฟอร์รี่เพื่อไปส่งมาชายหาด หลังขนข้าวของสัมภาระเรียบร้อย สี่คนแยกเป็นสองห้อง เราได้ที่พักที่ วารินทร์ บีช รีสอร์ท บนหาดบันดาหยา หรือ หาดพัทยา เปลี่ยนชุดแล้วออกมาเล่นน้ำกันที่หน้าหาด คว้าสน็อคเกิลได้ก็รีบรุดลงทะเล เพราะเหลือเวลาอีกไม่นานก็จะมืดแล้ว
เริ่มต้นวันแรกด้วยการดำน้ำดูปะการังแบบตื้นสุดๆ ชนิดที่ถ้ายืนในน้ำเมื่อไหร่ก็เหยียบปะการังแน่นอน วันนี้ได้แผลแรกจนได้ เจอปลาตัวหนึ่งที่ทำทีหวงอาณาบริเวณของตัวเอง วาดขาไปให้มันกัดซะงั้น เป็นจุดเล็กๆ ของความทรงจำบนเกาะแห่งนี้ ความที่ปะการังมันอยู่ตื้นมันก็เสียวไปอีกแบบ เพราะถ้าไปโดนหอยเม่นล่ะก็เสร็จเลย สุดท้าย ก็คงได้เป็นการซ้อมสำหรับการดำน้ำจริงๆ ในวันพรุ่งนั่นเอง
อาหารมื้อแรกบนเกาะช่างสุดแสนอร่อยหลังอาบน้ำแต่งตัวลงมาในตอนค่ำ พุงกางแล้วไปเดินถนนคนเดิน (Walking Street) กัน บรรยากาศดูจะฝรั่งไปนิด ผิดกับที่วาดภาพไว้ ที่นี่มีร้านของกินของใช้ปะปนไปกับทัวร์และบาร์ต่างๆ สุดท้าย ก็ได้แค่เดินกินน้ำปั่น (ที่หวานสุด) ,โรตีที่โดนแซงคิว และผลบอลที่น่าผิดหวัง
ค่ำคืนแรกบนเกาะกำลังจะผ่านไป พร้อมกับหนังตาที่ใกล้จะปิด พักผ่อนกันก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ เราจะไปดำน้ำกัน
เพิ่มเติม: จองที่พักราคาถูกบนเกาะหลีเป๊ะ