ในที่สุด เราก็มาถึงแล้ว เมืองที่สาม “วังเวียง” รถเข้าสู่โรงแรมที่พักของเราทันที คืนนี้ เราจะพักกันที่โรงแรม “ทะวีสุก” (ทวีสุข ถ้าเขียนแบบไทยๆ)
25.12.2551
เวลา 16.45 น.
หมูกะหมาแบกเป้-กระเป๋าเข้าห้องเรียบร้อย เราได้ห้องชั้นหนึ่งอีกครั้ง มองออกไปด้านหลังเห็นคนกำลังทาสีเก้าอี้กันอยู่ ไกลออกไปน่าจะเป็นรีสอร์ต ถัดจากนั้นน่าจะลำน้ำซอง เดี๋ยวเราคงได้เดินไปดูกัน
ห้องที่โรงแรมนี้ใหญ่กว่า วิลลาดาวเหนือที่หลวงพระบางอยู่พอสมควร แถมห้องน้ำก็ทำเก๋ เปิดบานเลื่อนมาโชว์ให้คนในห้องยลกายได้ด้วย
ด้วยความที่รู้แกวมาแล้ว หมาน้อยจึงเปิดตู้เย็นดู ที่นี่ไม่แตกต่างจากหลวงพระบางนัก ในตู้เย็นไม่มีอะไรให้ ไม่มีเครื่องดื่มที่คิดเงินอยู่ในนั้นเลย มีแต่ตู้ที่ว่างเปล่า แต่มีน้ำเปล่า (น้ำบอลิสุด) 2 ขวดตั้งไว้ให้ ไม่เสียบปลั๊กไว้ให้เช่นกัน จึงจัดการเสียบปลั๊กแล้วแช่น้ำเอาไว้เลย
มีแปรงสีฟันให้ด้วยนะ แต่ไม่เป็นไร หมูกะหมาเตรียมมา
ภาพแรก แก้วน้ำ 2 ใบของเราพิเศษจริงๆ ภาพหลัง ด้านหลังของโรงแรม สังเกตได้ว่า ชั้นหนึ่งไม่มีระเบียง …
อาบน้ำและแต่งตัวเสร็จ เห็นพรรคพวกไปเดินเล่นแถวรีสอร์ตกันแล้ว เลยออกไปเดินเล่นกันบ้าง เดินสวนกับหลายๆ คนโดยไม่รู้อะไร เดินมาจนเจอลำน้ำสายเล็กๆ และแสนตื้น นี่คือ “น้ำซอง”
มองเห็นสะพานข้ามน้ำซองอยู่ไม่ไกล มองไปเห็นพรรคพวกอยู่แถวนั้น จึงเดินออกไปทางหน้าโรงแรมและเดินเลี้ยวเข้าถนนที่จะไปยังสะพาน (ขัว)
แล้วก็อย่างที่คิดไว้ สะพานนี้เก็บค่าปี้ผ่านทางด้วย เก็บทีเดียวได้ทั้งไปทั้งกลับ คนละ 4 พันกีบ เป็นสะพานไม้ที่ยึดขึงด้วยลวดสลิง สะพานสวยน่าถ่ายรูปอยู่ไม่น้อย แต่ต้องคอยหลบรถเครื่องที่วิ่งผ่านอยู่ไม่หยุดหย่อน
มองไปไกลๆ จะเห็นว่า สะพานข้ามน้ำซองอีกแห่งซึ่งดูเล็กกว่า คาดว่าน่าจะสะพานที่เคยอ่านจากหนังสือเที่ยวลาว ที่นั่นก็คงเก็บค่าปี้เช่นกัน มองลงไปในน้ำ มองเห็นชาวลาวบางคนเดินข้ามแม่น้ำ คาดเอาว่า ชาวลาวคงไม่ใช้สะพานแห่งนี้มากนัก หากเราไม่คิดจะถ่ายรูปบนสะพานก็คงไม่ต้องเสียค่าปี้มาหรอก เดินลุยน้ำเอาก็ได้
เท่าที่สังเกตดู ลำน้ำซองเป็นแม่น้ำตื้นๆ มีน้ำใสไหลเย็นไหลริน บางจุดเท่านั้นที่ค่อนข้างลึก ริมฝั่งและบริเวณที่น้ำไหลผ่าน เป็นหินกรวดมากมาย เลยจากนั้นไป จะเป็นทิวเขาสูงต่ำรูปร่างแปลกตา ที่ใครๆ เขาตั้งสมญาว่า “กุ้ยหลินเมืองลาว”
เห็นหลายคนถอดเสื้อลงไปเล่นแล้วสนุกไปด้วย แต่ขอนั่งๆ ยืนๆ ถ่ายรูปอยู่บนบกจะดีกว่า
ระหว่างเดินกลับก็เห็นผู้สาวลาวอาบน้ำอยู่ ไม่มีใครกล้ากดชัตเตอร์ด้วยจะดูไม่ดี สังเกตเห็นผู้สาวบางคนผมยาวมาก ทำให้รู้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า ผู้สาวลาวไว้ผมยาวกัน วิถีชีวิตของคนลาวยังผูกพักอยู่กับสายน้ำ การอาบน้ำก็ยังต้องเดินมาอาบกันที่นี่ เชื่อว่าคงไม่มีใครอาบในบ้านแน่นอน
มารู้เอาทีหลังว่า หลายคนเช่าเรือนั่งล่องน้ำซองกันด้วย ไปกันตอนไหนนะเนี่ย
เวลา 17.52 น.
เย็นแล้ว เดินกลับโรงแรมกันดีกว่า แต่ก่อนเดินกลับก็ไปเดินเที่ยวดูตลาดกันเล็กน้อย ฝนตกลงเปาะแปะ จนต้องรีบเดินกลับโรงแรม
แล้วไม่นาน ทั้งคณะก็อยู่บนรถบัสที่เรามาทานมื้อค่ำกัน มื้อนี้อร่อยลิ้นอีกแล้ว อิ่มหนำเช่นเคย ก่อนเวลาที่เหลือจะไปเที่ยวเมืองวังเวียงก่อนกลับโรงแรม ที่นี่ไม่มีอะไรให้เดินเที่ยวนัก โดยทั่วไปเป็นสถานที่ดื่มของนักท่องเที่ยวมากกว่า แซมๆ ด้วยร้านอินเตอร์เน็ตและร้านของของที่ระลึก เมื่อไม่มีอะไรดึงความสนใจพวกเราจึงพากันเดินกลับ
วังเวียงเป็นเมืองเล็กๆ ดูสงบ ใช้เพียงขาก็เดินได้ทั่ว แต่ถ้าอยากขี่จักรยานก็มีให้เช่า น้องๆ เขาเช่ามาขี่กัน เห็นบอกว่าเป็นของโรงแรม ราคาไม่แพงนัก เช่าแล้วขี่ยาวจนกว่าจะเช็คเอาต์ได้เลยทีเดียว
ก่อนกลับก็แวะซื้อเครื่องดื่มกันหน่อย
แน่นอน เท่าที่เห็นส่วนใหญ่น่าจะเดินทางมาจากฝั่งไทย ชาวคณะหอบหิ้ว “เบียร์ลาว” มาหลายแก้ว (ที่นี่ “แก้ว” หมายถึง “ขวด”)
เมื่อถึงโรงแรม ก็เริ่มรวมสมัครพรรคพวกมารวมตัวกันที่ห้องๆ หนึ่งบนชั้นที่ 4 ของโรงแรม ที่นี่ไม่มีแขกอื่น ทั้งโรงแรมมีแต่ “พวกเรา” เท่านั้น ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจใคร
กลุ่มของเราเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย เบียร์เข้าปาก ความฮาก็บังเกิด ไม่นาน เสียงหัวเราะก็ดังไปทั่ว ที่ระเบียง คนร่วมสิบร่วมร่ำสุรา ขณะที่ข้างในห้อง กำลังเสพ “ใจร้าว” กันอยู่อย่างใจจดจ่อ วังเวียงไม่วังเวงแน่นอน เพราะมีพวกเรานี่แหละ
เบียร์ลาวในคืนนั้นรสชาติดีถูกใจ ผิดกับเบียร์ลาวที่ซื้อกลับมาเมืองไทย ให้สงสัยว่า เบียร์ลาวต้องดื่มที่ลาวเท่านั้นรึเปล่า เบียร์ยี่ห้อนี้รักชาติเหลือหลาย
กว่าเที่ยงคืน เบียร์หมดไปถึง 18 แก้ว(ขวด)ใหญ่ กับ 1 แก้ว(ขวด)เล็ก ไม่มีใครเมา เข้านอนกันดีกว่า
…แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้า
[แล้วเจอกัน …ตอนสุดท้าย]