เมื่อถึงเวลาลงจากลานกางเต็นท์บนดอยผ้าห่มปก พวกเรากลับมาที่รถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อคันเดิมที่มาส่ง และแน่นอน ผู้ชาย 4 คนก็ยังคงนั่งกระบะท้าย และกระเด้งกระดอนอยู่อย่างนั้น จนรถเคลื่อนมาถึงเชิงดอย และผ่านหมู่บ้านของชาวเขาอีกครั้ง เราได้ยินเด็กๆ ตะโกนอะไรสักอย่างกับเรา พร้อมโบกมือให้
ลักษณะเหมือนพวกเขากำลังขอบคุณและอวยพรเรา ประมาณนั้น
ถ้าให้เดา ผมก็คงเดาว่า เด็กๆ เหล่านี้คือลูกหลานของพี่ๆ แม้วที่นำทางพวกเราอยู่บนดอย พวกเขาอาจขอบคุณที่เราทำให้พวกเขามีรายได้ ให้พวกเขาเกิดและเติบโต ผมเดาไว้เช่นนั้น
———————-
พวกเราผ่านพ้นการผจญภัยกับสวนสนุกท้ายรถกระบะกันมาอย่างทุลักทุเล ใครว่ามา “ดอยผ้าห่มปก” แล้วไม่เหนื่อย
ดูสภาพแต่ละคนแล้ว ไม่ต่างจากกลับมาจาก “ภูสอยดาว” แม้แต่น้อย
กลับมาถึงสำนักงานอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกอีกครั้ง ด้วยความหวังจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายที่นี่เสียหน่อย เพราะตั้งแต่เดินทางมา ยังไม่ได้อาบน้ำเลยสักมื้อ แต่จนแล้วจนรอด พวกเราก็ไม่ได้อาบน้ำกัน เพราะจะอาบน้ำพุร้อน (รู้สึกจะคนละ 30 บาท) ก็เจอกับคิวแสนยาว ต้องรอไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง จะอาบน้ำเย็นเจี๊ยบในห้องน้ำ ก็เจอต้องไปแย่งกัน สุดท้ายเล่นง่าย ไม่อาบแล้วกัน หาไรกินก่อน…
พวกเราก็เลยสั่งไก่ย่าง ข้าวเหนียว ส้มตำ มากันกินตายกันไปก่อน เมื่อท้องเริ่มอิ่ม จึงเริ่มเดินทางไปกับรถตู้ที่คนขับหนุ่มผู้แสนรักรถน้อยกว่าเมียเล็กน้อย
เราเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ในช่วงเย็นๆ ของวันเสาร์ที่ 6 ธันวา เช็คอินเข้าพักที่โรงแรม Holiday Garden Hotel & Resort บนถนนห้วยแก้ว ชำระล้างร่างกายแล้วออกเดินทางอีกครั้ง จุดมุ่งหมายของเราวันนั้นหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ถนนคนเดิน – วัวลาย – ประตูเชียงใหม่” ที่ถนนแคบไปทันตาเมื่อต้องรองรับผู้คนมากมาย จนผมต้องเดินไหลตามๆ เขาไปโดยไม่ได้ซื้ออะไรติดมือกลับมาเลย “มนต์นมสด” แถวนิมมานเหมินท์ ร้านขนมปังและนมยอดนิยม ที่ถูกโซ้ยหมดด้วยเวลาอันรวดเร็วมากๆ และที่ไหนอีกหว่า…
พอดีไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ความทรงจำเลือนหาย… เหลือแต่รูปร้านมนต์นี่แหละ
ได้เวลากลับนิวาสถาน เพื่อนๆ ต่างพาไปรวมตัวกันเพื่อนับเลข ผมขอปลีกวิเวกนอนอ่านหนังสืออยู่คนเดียว หลายสิบหน้าผ่านพ้นไป จนเพื่อนกลับมาอีกครั้ง เวลาพ้นผ่านจนเพื่อนกรนกลบความเงียบสงบให้มลายสิ้น ผมยังนอนอ่านหนังสืออยู่เช่นนั้น จนตี 2 ถึงได้ปิดไฟนอน
——————
เช้าวันต่อมา อาทิตย์ 7 ธันวาคม 2551
เช้าวันสุดท้ายของคนอื่นๆ ในเชียงใหม่ แต่ไม่ใช่สำหรับผม
พวกเราตื่นแต่เช้า อาบน้ำแล้วลงมาฟาด Breakfast ที่ห้องอาหารชั้นล่าง พบว่า มีลูกค้าโรงแรมมากมายที่ตื่นมาก่อนหน้า หันไปเห็นเพื่อนบางคนมารออยู่ก่อนแล้ว อาหารเช้าของที่นี่ไม่ถึงกับเพียบพร้อมอะไรมากนัก บางครั้ง เติมไม่ค่อยทันด้วยซ้ำไป อาจเพราะไม่เคยชินกับลูกค้าจำนวนที่มากกว่าปกติทั้งที่ควรจะชิน อาหารเช้าถูกเติมลงท้องจนเต็ม ได้เวลาเดินย่อยในสวน…
เช้าวันนี้ ผมไม่ได้เอากล้องลงมา เหลือเพียงภาพจากกล้องมือถือเท่านั้นที่พอมีอยู่
แล้วทุกคนก็กลับขึ้นไปเก็บข้าวของเพื่อกลับสู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ทิ้งให้เราอยู่เดียวดาย นั่งอ่านหนังสือรอเวลา 11.30 น. เก็บของเสร็จแล้วก็ลงมาเช็คเอาต์ ก่อนเดินออกไปที่ถนน
ด้วยความไม่รู้ที่ทางในเชียงใหม่ ดูแผนที่ก็ไม่รู้ว่ามันใกล้ไกลแค่ไหน เรียกรถแดงคนเดียวหนแรกในชีวิต บอกเขาว่าไปนิมมานเหมินท์ เขาพยักหน้า ผมเดินขึ้นรถ เพียงสูดลมหายใจไม่กี่หน รถก็เลี้ยวขวาเข้าสู่นิมมานเหมินท์ คิดในใจว่า
“แค่นี้ เดินมาเองก็ได้นี่หว่า”
จ่ายเงินเขาไปแล้วก็แบกเป้สัมภาระไว้ข้างหลัง กับถือกระเป๋ากล้องด้วยมือข้างหนึ่ง เดินสอดส่ายหาที่กิน สุดท้ายก็เลือกร้านง่ายๆ แบบข้าวมันไก่ เกิบเงินไว้ไปซื้อกาแฟสดกันดีกว่า (ซะงั้น)
แล้วผมก็เดินกลับมาที่ “ร้านกาแฟวาวี” เพื่อดื่มกาแฟที่หมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ว่าแล้วก็สั่งคาปูชิโน่เย็นมาลิ้มรสเสียหน่อย เดินออกมานั่งข้างนอก บรรยากาศดีไม่เบา แต่เสี่ยงกับการถูกมองนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าโต๊ะที่ว่างนั้นอยู่ติดกับโต๊ะด้านในร้าน ที่มีฝรั่งมีอายุกับหนุ่มไทยนั่งอยู่ ก่อนเดินออกไป หันไปเห็นหนุ่มไทยมองมาด้วย เอาแล้ว งานเข้าสิเรา แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ เดินไปนั่งที่โต๊ะนั้น โดยไม่ใส่ใจว่าจะมีสายตาไหนมองมาหรือไม่
ห่างเพียงกระจกกั้น แต่ทำไรข้าไม่ได้ร้อก!
นั่งอ่านหนังสือไป ดูดกาแฟไป จนเวลาล่วงไปถึง 14.00 น. ก็ได้รับโทรศัพท์จากสมาชิกจากทริป “ดอยม่อนจอง” ว่าวันนี้ คงมาถึงเชียงใหม่ช้าหน่อย ไปเช็คอินและนอนรอที่โรงแรมได้เลย โอเค เอาก็เอา
หลังจากพยายามเรียกรถแดงอยู่ 2 คัน ไม่ประสบความสำเร็จ เหตุคงเพราะมันไกลและอยู่อีกฟากหนึ่งของตัวเมือง หาคนไปด้วยยาก จึงไม่มีใครรับ แต่แล้วก็ได้ยินพี่คนหนึ่งเรียก เจ้าของสามล้อนั่นเอง เขาถามจุดหมายของผม
“ไปโรงแรม Imm Eco ครับ”
เมื่อไม่มีทางเลือก ประกอบกับไม่รู้ว่าจะหารถแดงได้หรือเปล่า ขอลองใช้บริการตุ๊กตุ๊กเมืองเชียงใหม่ก็แล้วกัน พี่เขาทำเท่สวมหมวกแต่งตัวเป็นคาวบอยเลยเชียวล่ะ
แล้วผมก็มาถึงที่พำนักแหล่งที่สามสำหรับทริปเชียงใหม่ของผม “Imm Eco” เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างใหม่ และมีความเป็นเอกลักษณ์ ด้วยความที่เคยเป็นโรงเรียนอนุบาลเก่า บรรยากาศที่เป็นธรรมชาติและเหมือนอยู่บ้าน สงบเงียบ เป็นกันเอง ผมเช็คอินเรียบร้อย เดินเข้าไปในบ้านอย่างผิดๆ ถูกๆ สำรวจทุกอย่างเอง ไม่มีใครพามาถึงห้องอย่างโรงแรมอื่น และพบว่า เราได้ 2 ห้องที่หน้าตาเกือบจะเหมือนกันเปี๊ยบ เป็นห้องรวม 4 เตียง เป็นเตียงแบบ 2 ชั้นเสียด้วย จัดการเปิดแอร์แล้วนอนอ่านหนังสืออย่างสบายใจ
เป็นห้องที่ตกแต่งอย่างง่ายๆ เตียงไม้ 2 ชั้น กับหมอน-ผ้าปู-ผ้าห่มสีขาว มีโต๊ะให้ 2 ตัว ตู้ใส่ผ้าขนหนู 2 ผืนจำนวน 2 ตู้ มีไฟสำหรับแต่ละเีตียงพร้อม ห้องที่ผมเลือกมีหน้าต่างเดียวพร้อมม่าน ขณะที่อีกห้องเป็นห้องริม จะมีหน้าต่าง 2 ตำแหน่ง
เวลาล่วงเลยไปจนถึงเกือบทุ่ม กว่าที่คณะทัวร์ม่อนจองจะมาถึง ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่าน ผ่านไปได้หลายบททีเดียว ระหว่างนั้นก็มีพักไปเดินเล่นบ้าง อาบน้ำบ้าง ห้องอาบน้ำที่นี่น่าสนใจมาก เพราะมันแยกตัวออกมาจากอาคารที่เรานอนกัน เป็นอาคารทรงกระบอก มีอ่างล้างหน้าอยู่ตรงกลาง รอบนอกแบ่งซอยเป็นห้องส้วมกับห้องอาบน้ำ แยกกันชาย 1 หลัง หญิง 1 หลัง มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญไว้ให้ด้วย บรรยากาศเหมือนอยู่บ้านเลย
เสียดาย ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู
เดินทะลุห้องน้ำไปเป็นสวนร่มรื่น ถัดไปอีกหน่อยเป็นห้องพักที่ราคาสูงกว่า (คาดว่ามีห้องน้ำในตัว) แถมมีสระน้ำขนาดยาว ที่มีจุดกระโดด มีลู่ว่าย มีสระเด็ก เดินกลับมาอีกนิด จะเป็น Barn House ร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่น ตรงกลางของพื้นที่โรงแรมเป็นทั้งล็อบบี้ ที่เล่นเน็ต ดูทีวี
น่าอยู่สักเดือนจังเลย!
[แล้วอย่าลืมมาอ่านตอนต่อไปนะจ๊ะ]