ใกล้เที่ยงของวันอาทิตย์ รถยนต์สีดำยี่ห้อ Toyota รุ่น Fortuner คันหนึ่ง พาผองเพื่อนทั้งเจ็ดมุ่งสู่เมือง “หัวหิน” รถแล่นลงไปทางใต้เข้าไปในอีกจังหวัดหนึ่ง ที่ชื่อ “ประจวบคีรีขันธ์” ไปตามหาวันวานที่หายไปนาน ดินแดนที่หลายคนถวิลหาอยากจะไปเยือน
วันนี้ เราจะได้ไปเยือนแล้ว ที่นั่น “เพลินวาน”
อาทิตย์ ที่ 27 กันยายน 2552 เวลา 11.35 น.
เช็คเอาต์เสร็จเรียบร้อย ออกเดินทางจาก Regent Chalet มุ่งสู่ตัวเมืองหัวหิน เพื่อเที่ยวยังดินแดนที่เราใฝ่ฝัน หลังจากวันก่อนต้องพลาดเป้าไป เพราะเพลินกับจักรยาน มาวันนี้ เราจะได้เพลินกับวันวานกันเสียที
11.55 น.
“เพลินวาน” รอเราอยู่แถวๆ ซอย หัวหิน 38 ทางเข้าที่ดูแปลกตาเห็นได้อย่างชัดเจนเพียงผ่านไปถึง เหมือนเรากำลังเดินเข้าสู่อุโมงค์ข้ามเวลา พาเรากลับสู่อดีต อดีตที่บางคนอาจไม่เคยแม้แต่เห็น ขณะที่บางคนเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนรำลึก หลายคนมีความสุขกับการได้หยิบจับสัมผัสหรือดื่มกินสิ่งอันเคยเป็นเคยมีในอดีตของตน ที่นี่แหละ เปิดอีกครั้งหลังปิดซ่อมแซม
เมื่อเข้าไป ผมพบกับผู้คนมากมายทีเดียวที่เดินกันขวักไขว่ด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า ท่าทางมีความสุขกับการเดินเข้ามุมโน้น ถ่ายรูปมุมนี้ เพลินวานเปิดให้เข้าฟรีไม่คิดตังค์ แต่มีของขายให้คุณซื้อวันวานมาเสพกัน นี่คือ การมาเยี่ยมเพลินวานครั้งแรกของผม รู้สึกได้ว่า มันคือสถานที่ท่องเที่ยวที่มีแนวทางเฉพาะตัว
ทั้งของกิน อย่างน้ำจรวดรสรูทเบียร์ หรือจะไอติมกะทิ ที่ได้ทาน กลับให้ความรู้สึกไม่เท่าของที่ได้จับ-สัมผัสโดยไม่ต้องซื้อหา
แต่เฉพาะเฟสแรก ดูจะทำให้เพลินวานไม่ค่อยจุใจเท่าไหร่ เดินได้แป๊บเดียวก็สิ้นสุดเขตย้อนวันวานเสียแล้ว แต่ก็ได้เห็นภาพของเฟสสองที่ยังไม่เสร็จดี แถมกำลังทำพิธีบางอย่างในบริเวณที่ยังไม่เปิดให้เข้านั่น
12.31 น.
เดินออกจากเพลินวาน ไปหาอะไรทานแก้หิว ตกลงปลงใจเลือกร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อ “เจียง ลูกชิ้นปลา” หน้าซอยหัวหิน 41 เป็นแหล่งเติมพลังงาน ก๋วยเตี๋ยวนานาชนิดถูกสั่งมาตามอัธยาศัยกระเพาะของแต่ละคน ต่างเริ่มคิดถึงจุดหมายสำคัญอีกแห่ง คือ ของหวานนาม “เค้ก” จานร้านที่มีหลายคนแนะนำ หลังจากสอบถามทางไปแล้ว ล้อก็หมุน
เพียงไม่นาน รถวิ่งมาถึงถนนแนบเคหาสถ์ จนพบกับป้ายบอกชื่อที่พวกเราค้นหา “บ้านใกล้วัง” ร้านเค้กแสนอร่อยและบรรยากาศดี ที่ๆ เราจะได้เจอกับเพื่อนคนเดิมอีกครั้ง (กรุณาอ่านตอน 2) หน้าบ้านก็เหมือนกับบ้านคนธรรมดาๆ ทั่วไป ประตูรั้วที่จะถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่งตลอด เดินเข้าไป เหมือนเข้าไปในบ้านคน ที่มีหลายหลัง เดินตามป้ายไปจนพบกับประตูหน้าบ้านเล็กๆ
ถึงแล้วสินะ จุดหมายที่เราค้นหา ผู้คนมากมายนั่งอยู่เต็มร้าน แสดงถึงความนิยมที่ถูกบอกต่อกันไป รสชาติกับบรรยากาศที่สบายๆ เหมือนอยู่บ้านตัวเอง เราเลือกที่นั่งที่อยู่ใกล้ชิดกับทะเลเกือบจะที่สุดของร้าน (เพราะมันว่างอยู่) ก่อนจะสั่งเมนูที่คิดไว้มาทานกัน
ถ้าถามลิ้นว่าชอบเมนูไหน มันคงบอกว่า ชอบ Tiramisu กับ Coconut Cake เป็นมือวางอันดับต้นๆ ส่วนเมนูอื่นก็ถือเป็นมือรองบ่อนกันไป เพียงพริบตาเค้กนานาในจานก็หายวับไปกับตา มวลหมู่เพื่อนหันไปถ่ายรูปริมทะเลกันอย่างเพลินจิตชิดลม ก่อนจะเอ่ยปากจากลา ว่าจะไปเจอกันที่ Premium Outlet ตอนขากลับ
14.36 น.
ก่อนจะถึงที่หมายสุดท้าย เจ็ดสหายแวะถ่ายรูปกลางแดดเปรี้ยงที่ “สถานีรถไฟหัวหิน”
ก่อนจะไหม้เกรียมกันไปเสียก่อน จึงรุดขึ้นรถจรสู่ “วัดห้วยมงคล” ถึงวัดก็เห็นฟ้าที่เริ่มไม่เป็นใจ เพียงไม่ทันไร ขณะขึ้นไปไหว้สักการะหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก จนต้องอาศัยบริเวณรูปหล่อองค์เล็กที่ให้ญาติโยมปิดทองเป็นร่มเงาเอาไว้หลบฝน
กว่าฝนจะหยุด ลมที่พัดแรง พาเอาทองคำเปลวปลิวว่อนติดตามตัวเต็มไปหมด พอฝนหยุดจึงได้มารวมตัวกัน และเห็นควรว่าคงได้เวลากลับ
…โดยไม่แวะ Premium Outlet
ระหว่างทางกลับเข้าสู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ฝนยังคงตกหนักตลอดเวลา และซาเม็ดลงบ้างในช่วงที่เราแวะซื้อของฝากที่ “บ้านขนม นันทวัน” ที่นั่น เราได้เจอกับเพื่อนเก่าอีกคนโดยไม่คาดฝัน เขาคนนั้นมาเที่ยวกับเพื่อนสาวๆ ทริปนี้ช่างน่าแปลกใจ ชักพาเพื่อนเก่าๆ มาเจอกันโดยมิได้นัดหมาย เมื่อเดินทางต่อ บรรยากาศเริ่มเย็นย่ำ เราก็ยังเจอเข้ากับห่าฝนอีกครั้งจนกระทั่งถึงกรุงเทพฯ
รวมแล้ว 2 วัน เราเจอสภาพอากาศที่หลากหลาย เสาร์ เราเจอกับฟ้าที่ครึ้มไปด้วยเมฆสีหม่น ทั้งวันไร้แดด ไม่มีฝน ไม่มีลม อาทิตย์เช้าถึงบ่าย ฟ้าโปร่ง แดดแรง ก่อนที่เย็นจะกลายเป็นช่วงที่มีแต่ฝนที่ตกยาวมาจนถึงอีกวัน
สิ้นสุดลงแล้ว ทริปเล็กๆ สั้นๆ … ชะอำ – หัวหิน กินความสุขได้ไม่นาน กลับมาผจญความเครียดที่กรุงต่อสินะเรา…