ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการตะลุยเดินและเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุก Universal Studios Singapore มาทั้งวันเมื่อวันวาน ทำให้คืนก่อน เรียกได้ว่า หลับยาวกันยันฟ้าสว่างเลยทีเดียว แม้จะรู้สึกตัวว่า มีตื่นขึ้นมากลางดึกบ้าง แต่ก็หลับต่อได้ ทั้งหมดก็คงเพราะ “ความเพลีย”
Saturday, 13 October 2012
ตื่นขึ้นมาก็พบว่าสายแล้ว เพื่อนมาปลุกให้ตื่นเพื่อพบว่า นี่มัน 9 โมงเศษแล้วนี่นา เลยรีบรุดอาบน้ำแต่งตัวไปทานอาหารเช้ากับเพื่อนๆ เรากลายเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่ลุกขึ้นมาทานอาหารหน้าตาเดิมๆ อาหารเช้าที่ควรจะเปลี่ยนแปลงไปตามที่เราเคยวางตารางกันเอาไว้ แต่เมื่อมันเป็นสิ่งหนึ่งที่เราจะประหยัดเงินได้ ทำไมเราจะไม่ทำล่ะ
ข้าวมันไก่ บักกุดเต๋ หมูสะเต๊ะ อะไรพวกนั้น หลบไป มีของฟรีอยู่ตรงหน้า ทริปนี้ อาหารจึงเป็นเรื่องรองๆ
วันนี้ ขบวนของเราเริ่มต้นที่เดิม ถนน Dickson Road เดินข้ามห้าแยกวัดใจ มุ่งอยู่ Kerbau Road ไปยังสถานีรถไฟฟ้า MRT ที่ชื่อ Little India (NE7) เช่นเดิม จุดหมายของเรามุ่งสู่เขตไชน่าทาวน์ เพราะฉะนั้น เราจะลงใต้ดินด้วยรถไฟฟ้าสายสีม่วงมุ่งหน้า Harbourfront (NE1) แต่เราลงที่สถานที่ Chinatown (NE4)
Sri Mariamman Temple
เราไปทางออก D ก่อนเพื่อไปเจอกับ People’s Park Centre ที่นี่เราจะไปรับตั๋วเที่ยว Singapore Flyer / Garen by The Bay ที่ราคา S$36 ต่อคนที่ Sea Wheel Travel ก่อน แล้วค่อยเดินเข้าสถานีและออกมาทางออก A เจอกับ Pagoda Street ที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ อาคารบ้านเรือนแบบเก่าๆ ที่ผสมผสานวัฒนธรรมจีนกับฝรั่งมังค่าทาสีสวยงาม สุดถนนเราจะเจอกับวัด Sri Mariamman Temple ตั้งอยู่ที่หัวมุมที่จะบรรจบกับถนน South Bridge Road นั่นเอง แต่เพื่อนๆ ก็เดินผ่านไปเสียอย่างนั้น
South Bridge Road เป็นถนนที่ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยโคมสีสันสวยๆ น่าตื่นตา สองข้างทางมี Hostel อยู่เรียงราย ที่นี่น่าจะเป็นอีกย่านที่ที่พักราคาถูกๆ รอคอยนักท่องเที่ยวกระเป๋าไม่หนักอย่างพวกเราไปพัก เป็นถนนสายหลักที่จะพาเราไปพบกับถนนสายรองๆ ที่เป็นที่ตั้งของ Chinatown Night Market
Buddha Tooth Relic Temple & Museum
พวกเขามุ่งหน้าเลี้ยวขวาและเดินไปตาม South Bridge Road สู่สถานที่อีกแห่งบนถนนสายเล็กๆ ที่ชื่อ Sago Street หรือ Sago Lane เป็นวัดที่ชื่อ Buddha Tooth Relic Temple & Museum วัดที่ใช้ทุนสร้างค่อนข้างสูง ด้วยสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถัง ประกอบไปด้วย 4 ชั้น บางชั้นเป็นที่ตั้งของห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ บางชั้นก็เป็นที่ตั้งของพระบรมสารีริกธาตุ ด้านบนสุดเป็นสวนเล็กๆ ที่มีกงล้อธรรมตั้งอยู่
เราเดินอยู่ไม่นานนัก ฝนเจ้ากรรมก็ดันตกลงมา ทำให้เราได้แต่เดินไปเดินมาจนแข้งขาเริ่มกลับมาเมื่อยอีกครั้ง เลยได้เวลาพักสักเล็กน้อย รอฝนซาลงนิดหน่อยจึงได้ออกไปข้างนอก ฝนยังไม่หยุดดี แต่อาศัยเดินใต้อาคารต่างๆ เลาะเลียบไปเรื่อยๆ กลับเข้าสู่สถานี Chinatown (ENE4) อีกครั้งไปออกทางออก C – Eu Tong Sen Street ที่นี่จะมีห้างใหญ่ ไม่มีอะไรมากครับ เราออกมาเพื่อจะหาอะไรทานกันเป็นมื้อเที่ยง เดินเข้าไปเจอศูนย์อาหารขนาดใหญ่พอสมควรจึงขอฝากปากท้องไว้ที่นี่
ไม่ต้องใช้คูปอง แต่การหาโต๊ะอาจจะต้องใช้ฝีมือกันสักหน่อย สถานที่ไม่สะอาดมากนัก แต่ก็พอไหว อาหารมีหลากหลาย แต่ผมเลือกข้าวมันไก่ (Hainanese Chicken Rice) ราคา S$3 มาลองดู ไม่ถูกปากมากแต่ก็พอให้หายอิ่มกันไปได้เพราะจานใหญ่มาก เดินออกมา มองหาป้ายชื่ออาคารก็มาเจอว่ามันเรียกว่า People’s Park Complex ครับ
ได้เวลาเที่ยวกันอีกแล้วหนอพวกเรา
บ่ายนี้ เราจะอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการเที่ยวที่ Marina Bay เพราะฉะนั้น เราจะเดินทางด้วยรถไฟฟ้ากันเช่นเคย เริ่มที่สายสีม่วง Chinatown (NE4) นั่งกลับไป Dhoby Ghaut (NE6/NS24/CC1) แล้วต่อสาย North East Line มาที่สถานี Promenade (CC4) แล้วเปลี่ยนขบวนเพื่อมาที่สถานี Marina Bay (CE2/NS27) แล้วเปลี่ยนอีกครั้งมาที่สายสีส้ม Circle Line มาจากสถานี Bayfront (CE1) ดูงงๆ นะ เป็นธรรมดาอะ เพิ่งได้ใช้บริการรถไฟฟ้าในเมืองที่กันหลายๆ สายเป็นครั้งแรกก็อย่างนี้แหละ
Garden by the Bay
เดินออกมาจากสถานี ทางออกใดก็จำไม่ได้แล้ว แต่จุดมุ่งหมายของเราคือ Garden by the Bay สวนสวยแห่งใหญ่ของสิงคโปร์ที่เปิดรอรับนักท่องเที่ยวอย่างเรามาได้ไม่นานนัก เราเดินข้ามสะพานนาม Dragonfly Bridge ข้ามไปหามัน ที่นี่มีหอคอยใหญ่ยักษ์ มีทางเดินลอยอยู่กลางอากาศตั้งตระหง่านอยู่เห็นชัดแต่ไกล แต่นั่นไม่ใช่จุดหมายของเราเพราะไม่ได้ซื้อตั๋วไว้เพื่อเที่ยวบนนั้นครับ
จุดหมายของเราคือโดมยักษ์รูปทรงแปลกตาซึ่งเราต้องเดินเท้าผ่านสวนต่างๆ ไป เราผ่านทั้งสวน Malay Garden สวน Chinese Garden สวน Indian Garden จนมาถึงสองโดมยักษ์ในที่สุด โดมหนึ่งจะจัดแสดงพรรณไม้ดอกจากต่างแดนและพืชพรรณในเขตแห้งแล้ง มันถูกเรียกว่า Flower Dome มองออกไปข้างนอก เราจะเห็น Singapore Flyer อยู่ไม่ไกล
มาถึงอีกโดมหนึ่ง Cloud Forest ที่รวบรวมเอาพรรณไม้มากมายจากเขตร้อนชื้นเข้ามาไว้ด้วยกัน ที่นี่จึงต้องเนรมิตน้ำตกเทียมขนาดใหญ่ พอที่จะสร้างละอองน้ำให้ฟุ้งกระจายไปทั่วเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้เป็นสภาพที่พืชพวกนี้ชื่นชอบ โดมนี้จะมีหลายชั้น มีทางเดินลอยๆ อยู่กลางอากาศให้เดินดูพรรณไม้และให้เสียวๆ เล่นไปด้วยนะ
Singapore Flyer
เริ่มเมื่อยกันถ้วนทั่ว เราได้ใช้ขาและเท้าอย่างหนักทุกวันที่เรามาอยู่ที่นี่ แต่เราก็ยังคงเดินกันต่อ เลียบเลาะทางเดินริมน้ำมาจนถึงสะพานโค้งๆ รูปทรงแปลกตาที่จะพาเราไปยังฝั่งตรงข้าม ข้ามถนนไปยังอีกจุดหมายหนึ่ง นั่นคือ Singapore Flyer ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ติดอันดับโลก
เราเดินเข้าไปตามทางเดินที่จัดแสดงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์แห่งนี้ไปถึงทางเดินขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กนัก เห็นชิงช้าแต่ละตัวที่มีลักษณะเหมือนแคปซูลขนาดใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาเรา และบ้างก็เคลื่อนออกไป ไม่มีการหยุดหมุน เราต้องเดินเข้าไปในแคปซูลให้ทันก่อนมันจะออกไป 8 คนเข้าไปอยู่ในแคปซูลเรียบร้อย มันค่อยๆ เคลื่อนตัวสูงขึ้นจนถึงจุดสูงสุด เพื่อให้เราได้ชื่นชมทัศนีภาพของสิงคโปร์รอบด้าน อยู่กลางฟ้ากับกลุ่มเพื่อนๆ ชั่วขณะ…
มองเห็น 2 โดมที่เราเพิ่งจากมาเล็กลงไปถนัดใจ
ก่อนจะกลับลงมาที่เดิมอีกครั้งภายในเวลาเพียง…ครึ่งชั่วโมง
ไม่นานก็หมดไปแล้ว S$36 ต่อคน ค่าขึ้น Singapore Flyer กลับลงมาข้างล่างด้วยเสียงบ่นเสียดายที่เวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน แต่ก็ได้เวลารองท้องกันแล้วกับร้านอาหารที่ชั้นล่างซึ่งมีอาหารหลากหลายเมนูจากหลากหลายย่านมารวมๆ กัน สนนราคาที่ชามละ S$4-S$5 อิ่มหนำกันแล้วก็ได้เวลาเดินกันอีกครั้ง ข้ามถนนกลับไปยังอีกฝั่ง เดินบนทางเดินเลียบเลาะริมน้ำ ด้วยหวังจะไปยังเจ้าสิงโตทะเลพ่นน้ำแต่ดูจากความเร็วที่ใช้กัน คงไปถึงและกลับมาไม่ทันดูแสงสีเสียงของตึก Marina Bay Sand เป็นแน่ก็เลยได้แต่นั่งคอยอยู่ตรงนั้น
2 ทุ่ม การแสดงก็เริ่มขึ้น แต่วันนั้นเป็นวันที่มีคอนเสิร์ตที่ตรงนั้นด้วย ก็เลยไม่ได้ยินเสียงมากนัก ได้แต่ดูเสียงไปพลางๆ ก็ไม่ค่อยจะอิ่มใจกันสักเท่าใดนัก เดินข้ามสะพานผ่านแม่น้ำสิงคโปร์ไปเก็บภาพเจ้าสิงโตทะเล Merlion อีกนิดหน่อย
ก่อนจะเดินเลาะเลียบแม่น้ำสิงคโปร์ผ่านสะพานมีชื่อ Anderson Bridge และ Cavenagh Bridge มาจนถึงแถวๆ ตึก Raffles Place ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟฟ้า Raffles Place (NS26/EW14) ขึ้นรถไฟฟ้าสายสีแดงกลับไป Dhoby Ghaut (NE6/NS24/CC1) แล้วเปลี่ยนไปสายสีม่วงกลับสถานี Little India (NE7) เพื่อกลับสู่ที่พักหลับนอนของพวกเรา
พรุ่งนี้แล้วสินะ จะเป็นวันสุดท้ายบนเกาะสิงคโปร์
Sunday, 14 October 2012
ตื่นเช้ามาพร้อมกับเก็บของสำรวจอะไรที่ตกหล่นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเช็กเอาต์ที่เคาน์เตอร์ของ Lofi Inn รับเงินมัดจำคนละ S$30 กลับคืนก่อนเดินไปทานอาหารเช้าครั้งสุดท้ายที่ Footprints ได้เวลาของการช้อปปิ้งที่ Orchard Road
เวลาที่เหลือ แทบไม่มีอะไรให้เล่ามากมายนัก สำหรับคนที่มีเงินไปไม่มากนัก การเดินเข้าๆ ออกๆ ร้านโน้นตึกคงน่าเบื่อบ้าง ปล่อยให้คนอื่นช้อปๆ กันไป ก่อนที่จะเดินทางกลับสู่ท่าอากาศยานนานาชาติชางงีอีกครั้ง ใช้เวลาที่นั่นอยู่เป็นนาน เดินดูทุก Terminal และพบว่ามันช่างกว้างใหญ่จริงๆ แถมด้วยมีระบบต่างๆ ครบครัน ร้านอาหารที่นั่น ราคาแพงเอาการทีเดียวแต่ก็ฝากท้องมื้อสุดท้ายไว้ที่นั่นจนได้
จวบจนเวลาสุดท้าย เครื่องบินเท้กออฟขึ้นจากรันเวย์ มุ่งหน้าสู่ประเทศไทย
“บ้านของเรา”
ขอบคุณครับ สิงคโปร์น่าไปเที่ยวมาก