ท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์

ท่องแดนสิงคโปร์ ตอนที่ 1 : ออกเดินทาง

ได้เวลาโบยบินสู่แดนสิงคโปร์ครั้งแรกในชีวิต นี่คือตอนแรกของการเดินทางจากดอนเมืองสู่ชางงี ก่อนนอนคืนแรกในสิงคโปร์

แล้วเราก็ได้เวลาแห่งการโบยบิน ซึ่งอาจจะเรียกมันได้ว่า เป็นทั้งการพักผ่อน พักใจ หลีกหนี แสวงหาความสุข ให้เวลากับตัวเอง หรือจะเรียกอะไรก็คงแล้วแต่จุดประสงค์ของแต่ละคน แต่ผมขอเรียกมันรวมๆ ว่า คือ “การโบยบิน” เราโบยบินไปที่อื่นเพียงชั่วคราวแล้วเราก็กลับมา

ท่องแดนสิงคโปร์ ตอนที่ 1 : รถราบนถนนยามค่ำคืนที่สิงคโปร์

เริ่มต้น มันเป็นการจุดประกายของกลุ่มเพื่อนๆ ที่อยากจะไปเที่ยวด้วยกัน จากที่เคยไปมาหลายที่ในบ้านเรา ก็เริ่มอยากจะลองไปด้วยกันในต่างบ้านต่างเมืองดูบ้าง และหลายอย่างก็ดูจะมาประจวบเอากับที่นี่ และผมกลายเป็นคนสุดท้ายที่ตัดสินใจไปกับพวกเขา

เรามาเริ่มกันซะทีนะ….

Thursday, 11 October 2012

หลังจากตระเตรียมสัมภาระเรียบร้อย ตรวจเช็กเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าจะเป็น พาสปอร์ต (ที่ยังมีอายุเหลืออยู่อย่างน้อย 6 เดือนในขณะเดินทาง), Hotel Voucher (สำหรับที่พักที่จองเอาไว้) และ Travel Itinerary จากสายการบิน (เพื่อเอาไปใช้เช็กอินที่สนามบิน) รวมทั้งหนังสือต่างๆ ที่พอจะช่วยให้ท่องเที่ยงที่สิงคโปร์ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น

ทุกอย่างพร้อม เดินทางมุ่งสู่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ขั้นตอนทุกอย่างในสนามบินก็เริ่มต้นขึ้น

รวมสมัครพรรกพวกกันได้ 8 คนพอดิบพอดี มาเช็กอินที่สนามบินเพราะหวังว่าจะได้นั่งใกล้กัน สุดท้าย ก็ได้นั่งกระจายๆ กันไปอยู่ดี การใช้บริการของสายการบิน Air Asia สายการบินโลว์คอสต์ข้ามชาติเป็นเรื่องดี ตรงที่ค่าใช้จ่ายถูก ถ้าเลือกซื้อตั๋วเดินทางไว้ล่วงหน้าในช่วงโปรโมชั่นดีๆ ก็ประหยัดไปได้มาก แต่ถ้าตัดสินใจช้าอย่างเรา ก็คงจะต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อนๆ ในทริปเพียงเพื่อจะได้ไปกับพวกเขาเท่านั้นเอง

หลังจากตรวจสแกนกระเป๋า เช็กอิน รับ Boarding Pass และได้เลขที่นั่งบนเครื่องมาแล้ว เวลาที่เหลือก็ถูกใช้ไปกับการหาที่รับประทานอาหาร ซึ่งต้องขนข้าวของทั้งหมดเดินเท้าไปยังอีกตึก ตอนนี้ ดอนเมืองไม่มีทางเชื่อมถึงกันแล้วหรือไร

ทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินกลับมาที่เดิม กรอกแบบฟอร์มขาเข้า-ขาออกกันแบบยืนๆ (ก็ไม่รู้ทำไมไม่กรอกกันตอนกินข้าว) แล้วทุกคนต่างขนสัมภาระเดินเข้าซองทีละคน ความเป็นคนไทยนี่ทำให้สะดวกอย่างหนึ่งคือเข้าได้ทุกช่องทาง เจ้าหน้าที่ตรวจเช็กเสร็จก็คืนทุกอย่างให้เรา พากันเดินมารอขึ้นเครื่อง

ไหนๆ เราก็ได้กลับมาใช้สนามบินดอนเมืองแล้ว จุดที่ดึงความสนใจของเราไว้ก็คงจะเป็นห้องน้ำที่ตกแต่งใหม่เสียสวยงาม แถมหน้าห้องน้ำยังมีลูกเล่นให้สนุกแบบเพลินๆ ได้อีก เลยใช้เวลาตรงนั้นเสียนานนิดนึง

ท่องแดนสิงคโปร์ ตอนที่ 1 : หน้าห้องน้ำที่สนามบินดอนเมือง

ที่ดอนเมืองเราใช้วิธีเดินไปขึ้นรถที่จะขับไปส่งเราที่บันไดขึ้นสู่เครื่องบิน แทนที่จะเป็นงวงช้างอย่างที่เคย หลังจากนั่งได้สักพัก เครื่องก็เคลื่อนสู่รันเวย์และทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าที่มืดมิด ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปนอกเครื่อง แอร์คนสวยก็มาสะกิดให้ปิดมือถือ ดีจังได้คุยกับแอร์ด้วยนะทริปนี้

ท่องแดนสิงคโปร์ ตอนที่ 1 : ภาพภายนอกห้องโดยสารของเครื่อง Air Asia

บนเครื่องบิน เราได้รับ Immigration Form จากแอร์โฮสเตสให้กรอกด้วย สองชั่วโมงผ่านไป เราก็มาท่าอากาศยานนานาชาติชางงี สนามบินระดับโลกของสิงคโปร์จนได้

เราเดินเข้าช่องทางของเจ้าหน้าตรวจคนเข้าเมืองที่ Terminal 1 ไม่ต้องห่วงอะไร ผ่านกันมาได้ด้วยดี ก่อนผ่านมา เหลือบไปเห็นกระบะที่ใส่ลูกอมอยู่ จึงหยิบมานิดหน่อย ของฟรีๆ นี่นา

ท่องแดนสิงคโปร์ ตอนที่ 1 : นั่ง Skytrain ไปยัง Terminal 2

แล้วก็ต้องรีบเดินไปขึ้นรถ Skytrain ภายในของสนามบินเพื่อไปยัง Terminal 2 เป็นความสะดวกอย่างหนึ่งที่เขาจัดไว้ให้เพราะความกว้างใหญ่ของพื้นที่ เราเดินลงถึงบันไดเลื่อนที่พาเรามาชั้นใต้ดิน พบกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีเขียว สถานี Changi Airport (CG2) จุดเริ่มต้นที่เราจะเดินทางไปยังที่พัก ที่นี่รถไฟฟ้ามีหลายสายครอบคลุมทั่วเกาะ การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นที่นิยม รถราบนถนนไม่ติดขัด แต่การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าจำต้องใช้บัตรเติมเงิน เราเลือกใช้บัตร Ez-Link ที่แม้จะใช้ชำระค่าบริการได้หลายอย่าง แต่เราเน้นใช้กับรถไฟฟ้า ซึ่งก็จะมีขายที่สถานี Changi Airport นี่แหละ เงินก้อนแรกที่ใส่เข้าไปคือ S$12 เป็นค่ามัดจำ S$5 ที่เหลือเป็นมูลค่าบัตรที่ใช้หักไปเรื่อยๆ สามารถเติมได้ตามตู้เติมเงินหรือเติมกับเจ้าหน้าที่สถานีได้

ว่าแล้วก็เริ่มเดินทางด้วยรถไฟฟ้าของสิงคโปร์กันเลย

รถไฟฟ้าที่นี่ มีทั้งเสียงประกาศหลายภาษาด้วยความหลากหลายของชนชาติที่อาศัยอยู่ร่วมกัน แต่การประกาศที่ไม่ต้องใช้เสียง ใช้แค่ตามองดูก็เตรียมไว้พร้อมเช่นกัน มีตัวอักษรวิ่งที่กลางขบวน ที่เหนือประตูบางคันก็จะมีไฟเขียวๆ แดงๆ ขึ้นให้ดูรู้เลยว่า มันวิ่งไปทางไหน อยู่ที่สถานีใดแล้ว และประตูจะเปิดฝั่งไหน แม้ว่าเราจะใส่หูฟังอยู่ในโลกส่วนตัวก็ยังรับรู้ข้อมูล/ตำแหน่งสถานี ณ ขณะนั้นได้ ทั้งยังมีกล้อง CCTV คอยสอดส่องเหตุการณ์ให้อีกต่างหาก ที่นั่งบางขบวนจะถูกยุบไปกลายเป็นที่ยืนทำให้บรรทุกคนได้มากขึ้น และที่นั่งริมทั้งสองข้างจะถูกระบุเป็น Reserved Seat สำหรับคนแก่ คนพิการ หญิงตั้งครรภ์ หลายครั้งเราจะเห็นที่นั่งตรงนี้ว่าง

รถไฟฟ้า MRT พาเราขึ้นจากใต้ดินมาลอยตัวอยู่เหนือพื้นดินในช่วงสถานีต่อๆ มา แต่พวกเราต้องลงที่สถานี Tanah Merah (EW4) เพื่อเปลี่ยนไปยังสายสีเขียวอีกขบวน คราวนี้เรานั่งไกลมาจนถึงสถานี Bugis (EW12) ซึ่งเป็นสถานีริมขอบของย่าน Kampong Glam มันอยู่ใกล้ย่าน Little India ที่เราจะไปพักมากที่สุด ถ้าเราจะใช้บริการรถไฟฟ้าเพื่อไปลงสถานี Little India ต้องต่ออีก 2 สายผ่านสายสีแดง (North South Line) และสายสีม่วง (North East Line) เปลืองโดยใช่เหตุแต่ต้องเดินนิดหน่อย เป็นการซ้อมเดินวันแรกในสิงคโปร์

เราเดินไปทางถนน Rochor Road แล้วเข้าถนน Jalan Besar ซึ่งก็จะไปบรรจบกับ Dickson Road ซึ่งเป็นที่ตั้งของโฮสเทลของเราอีกที ระหว่างทางก็เห็นร้านอาหารอยู่เรียงรายน่าสนใจอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ ภารกิจเร่งกว่าคือการเข้าไปเช็กอินที่พักก่อน

แล้วก็พบเรื่องน่าประหลาดใจเมื่อพบว่า ที่พักทั้งสองแห่งที่เราเลือกมันอยู่ฝั่งตรงข้ามของสี่แยก ใกล้กันแค่นี้เอง ที่พักของผมคือ Lofi Inn ซึ่งน่าจะเพิ่งเปิดใหม่ไม่นาน ส่วนของเพื่อนคือ Footprints การเลือกที่พักแบบ Hostel จะมีลักษณะเหมือนหอพัก คือเป็นห้องรวม ทำให้เราต้องเสี่ยงดวงเอาเองว่าจะเจอแขกร่วมห้องพักแบบไหน พนักงานต้อนรับของ Lofi Inn ดูแลเราอย่างดี แม้ว่าเราจะเป็นนักท่องเที่ยวที่พูดจาอังกฤษไม่คล่องแคล่วก็ตาม แต่สำเนียงอังกฤษแบบคนสิงคโปร์เชื้อสายจีนนี่ก็ฟังยากเหมือนกันแฮะ สิ่งที่ Lofi Inn ให้มากกว่าก็คือ มีลิฟต์ขึ้นลง 4 ชั้น ห้องพักของเรามีห้องน้ำในตัว ขณะที่ของ Footprints ต้องเดินบันไดขึ้นลง และห้องน้ำก็แยกต่างหากแบ่งชายหญิง แต่เมื่อเช็กอินเข้าพัก สิ่งหนึ่งที่เราต้องเจอก็คือ เราต้องจ่ายค่ามัดจำซึ่งจะได้รับคืนเมื่อเช็กเอาต์ ของ Lofi Inn เก็บที่ S$30/คน แต่ของ Footprints จะเก็บอยู่ที่ S$20/คน ครับ

เมื่อพบว่าแขกร่วมห้องมีแต่ผู้ชาย ก็เลยต้องสลับเอาเพื่อนผู้ชายมานอนด้วย หลังจากจัดการอะไรๆ เรียบร้อยแล้ว ความหิวมาเยือนบางคนจึงลงมาหาอะไรทานในร้านที่เล็งๆ ไว้ Yan Kee Noodle House บนถนน Jalan Besar ร้านก๋วยเตี๋ยวที่มีทั้งหมี่ซั่ว บะหมีน้ำลูกชิ้นปลา ที่ลองสั่งมาดู สำหรับคนไทยคงต้องสั่ง Spicy ควบคู่ไปด้วยทุกเมนู มิฉะนั้น รสชาติจะจืดชืดมาก เครื่องปรุงมีเพียงพริกน้ำปลาเท่านั้น และแม้ว่าจะสั่งแบบ Spicy แล้วก็ยังพบว่ามีความเผ็ดในแบบที่ไม่คุ้นเคยในก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา สนนราคาอยู่ที่ S$3.50 เป็นพื้นฐาน

ท่องแดนสิงคโปร์ ตอนที่ 1 : ก๋วยเตี๋ยวแบบสิงคโปร์ ชามละ S$3.50

อิ่มแล้วก็เดินกลับที่พัก ทักทายเพื่อนร่วมห้องนิดหน่อย ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ ได้เวลานอนแล้วสิเรา

คืนแรกในสิงคโปร์ แทบจะเรียกได้ว่า “นอนไม่หลับเลย”

[ แล้วมาต่อใน ตอนที่ 2 Universal Studios Singapore นะ ]

PatSonic

บล็อกเกอร์ผู้ชอบดูหนังหลากแนว ฟังเพลงหลายสไตล์ มีเวลาว่างก็จะออกไปท่องเที่ยว บางเวลาก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน หยิบซีรีส์ขึ้นมาดู แล้วก็จะหยิบมาเขียนให้ทุกคนได้อ่านกัน
Back to top button

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save

Adblock Detected

เนื่องจากบล็อกนี้อยู่ได้ด้วยความเอื้อเฟื้อผู้เยี่ยมชม รบกวนไม่ใช้ Ad Blocker เพื่อการเยี่ยมชมที่สมูธครับ