แล้วเราก็ได้เวลาแห่งการโบยบิน ซึ่งอาจจะเรียกมันได้ว่า เป็นทั้งการพักผ่อน พักใจ หลีกหนี แสวงหาความสุข ให้เวลากับตัวเอง หรือจะเรียกอะไรก็คงแล้วแต่จุดประสงค์ของแต่ละคน แต่ผมขอเรียกมันรวมๆ ว่า คือ “การโบยบิน” เราโบยบินไปที่อื่นเพียงชั่วคราวแล้วเราก็กลับมา
เริ่มต้น มันเป็นการจุดประกายของกลุ่มเพื่อนๆ ที่อยากจะไปเที่ยวด้วยกัน จากที่เคยไปมาหลายที่ในบ้านเรา ก็เริ่มอยากจะลองไปด้วยกันในต่างบ้านต่างเมืองดูบ้าง และหลายอย่างก็ดูจะมาประจวบเอากับที่นี่ และผมกลายเป็นคนสุดท้ายที่ตัดสินใจไปกับพวกเขา
เรามาเริ่มกันซะทีนะ….
Thursday, 11 October 2012
หลังจากตระเตรียมสัมภาระเรียบร้อย ตรวจเช็กเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าจะเป็น พาสปอร์ต (ที่ยังมีอายุเหลืออยู่อย่างน้อย 6 เดือนในขณะเดินทาง), Hotel Voucher (สำหรับที่พักที่จองเอาไว้) และ Travel Itinerary จากสายการบิน (เพื่อเอาไปใช้เช็กอินที่สนามบิน) รวมทั้งหนังสือต่างๆ ที่พอจะช่วยให้ท่องเที่ยงที่สิงคโปร์ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
ทุกอย่างพร้อม เดินทางมุ่งสู่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ขั้นตอนทุกอย่างในสนามบินก็เริ่มต้นขึ้น
รวมสมัครพรรกพวกกันได้ 8 คนพอดิบพอดี มาเช็กอินที่สนามบินเพราะหวังว่าจะได้นั่งใกล้กัน สุดท้าย ก็ได้นั่งกระจายๆ กันไปอยู่ดี การใช้บริการของสายการบิน Air Asia สายการบินโลว์คอสต์ข้ามชาติเป็นเรื่องดี ตรงที่ค่าใช้จ่ายถูก ถ้าเลือกซื้อตั๋วเดินทางไว้ล่วงหน้าในช่วงโปรโมชั่นดีๆ ก็ประหยัดไปได้มาก แต่ถ้าตัดสินใจช้าอย่างเรา ก็คงจะต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อนๆ ในทริปเพียงเพื่อจะได้ไปกับพวกเขาเท่านั้นเอง
หลังจากตรวจสแกนกระเป๋า เช็กอิน รับ Boarding Pass และได้เลขที่นั่งบนเครื่องมาแล้ว เวลาที่เหลือก็ถูกใช้ไปกับการหาที่รับประทานอาหาร ซึ่งต้องขนข้าวของทั้งหมดเดินเท้าไปยังอีกตึก ตอนนี้ ดอนเมืองไม่มีทางเชื่อมถึงกันแล้วหรือไร
ทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินกลับมาที่เดิม กรอกแบบฟอร์มขาเข้า-ขาออกกันแบบยืนๆ (ก็ไม่รู้ทำไมไม่กรอกกันตอนกินข้าว) แล้วทุกคนต่างขนสัมภาระเดินเข้าซองทีละคน ความเป็นคนไทยนี่ทำให้สะดวกอย่างหนึ่งคือเข้าได้ทุกช่องทาง เจ้าหน้าที่ตรวจเช็กเสร็จก็คืนทุกอย่างให้เรา พากันเดินมารอขึ้นเครื่อง
ไหนๆ เราก็ได้กลับมาใช้สนามบินดอนเมืองแล้ว จุดที่ดึงความสนใจของเราไว้ก็คงจะเป็นห้องน้ำที่ตกแต่งใหม่เสียสวยงาม แถมหน้าห้องน้ำยังมีลูกเล่นให้สนุกแบบเพลินๆ ได้อีก เลยใช้เวลาตรงนั้นเสียนานนิดนึง
ที่ดอนเมืองเราใช้วิธีเดินไปขึ้นรถที่จะขับไปส่งเราที่บันไดขึ้นสู่เครื่องบิน แทนที่จะเป็นงวงช้างอย่างที่เคย หลังจากนั่งได้สักพัก เครื่องก็เคลื่อนสู่รันเวย์และทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าที่มืดมิด ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปนอกเครื่อง แอร์คนสวยก็มาสะกิดให้ปิดมือถือ ดีจังได้คุยกับแอร์ด้วยนะทริปนี้
บนเครื่องบิน เราได้รับ Immigration Form จากแอร์โฮสเตสให้กรอกด้วย สองชั่วโมงผ่านไป เราก็มาท่าอากาศยานนานาชาติชางงี สนามบินระดับโลกของสิงคโปร์จนได้
เราเดินเข้าช่องทางของเจ้าหน้าตรวจคนเข้าเมืองที่ Terminal 1 ไม่ต้องห่วงอะไร ผ่านกันมาได้ด้วยดี ก่อนผ่านมา เหลือบไปเห็นกระบะที่ใส่ลูกอมอยู่ จึงหยิบมานิดหน่อย ของฟรีๆ นี่นา
แล้วก็ต้องรีบเดินไปขึ้นรถ Skytrain ภายในของสนามบินเพื่อไปยัง Terminal 2 เป็นความสะดวกอย่างหนึ่งที่เขาจัดไว้ให้เพราะความกว้างใหญ่ของพื้นที่ เราเดินลงถึงบันไดเลื่อนที่พาเรามาชั้นใต้ดิน พบกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีเขียว สถานี Changi Airport (CG2) จุดเริ่มต้นที่เราจะเดินทางไปยังที่พัก ที่นี่รถไฟฟ้ามีหลายสายครอบคลุมทั่วเกาะ การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นที่นิยม รถราบนถนนไม่ติดขัด แต่การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าจำต้องใช้บัตรเติมเงิน เราเลือกใช้บัตร Ez-Link ที่แม้จะใช้ชำระค่าบริการได้หลายอย่าง แต่เราเน้นใช้กับรถไฟฟ้า ซึ่งก็จะมีขายที่สถานี Changi Airport นี่แหละ เงินก้อนแรกที่ใส่เข้าไปคือ S$12 เป็นค่ามัดจำ S$5 ที่เหลือเป็นมูลค่าบัตรที่ใช้หักไปเรื่อยๆ สามารถเติมได้ตามตู้เติมเงินหรือเติมกับเจ้าหน้าที่สถานีได้
ว่าแล้วก็เริ่มเดินทางด้วยรถไฟฟ้าของสิงคโปร์กันเลย
รถไฟฟ้าที่นี่ มีทั้งเสียงประกาศหลายภาษาด้วยความหลากหลายของชนชาติที่อาศัยอยู่ร่วมกัน แต่การประกาศที่ไม่ต้องใช้เสียง ใช้แค่ตามองดูก็เตรียมไว้พร้อมเช่นกัน มีตัวอักษรวิ่งที่กลางขบวน ที่เหนือประตูบางคันก็จะมีไฟเขียวๆ แดงๆ ขึ้นให้ดูรู้เลยว่า มันวิ่งไปทางไหน อยู่ที่สถานีใดแล้ว และประตูจะเปิดฝั่งไหน แม้ว่าเราจะใส่หูฟังอยู่ในโลกส่วนตัวก็ยังรับรู้ข้อมูล/ตำแหน่งสถานี ณ ขณะนั้นได้ ทั้งยังมีกล้อง CCTV คอยสอดส่องเหตุการณ์ให้อีกต่างหาก ที่นั่งบางขบวนจะถูกยุบไปกลายเป็นที่ยืนทำให้บรรทุกคนได้มากขึ้น และที่นั่งริมทั้งสองข้างจะถูกระบุเป็น Reserved Seat สำหรับคนแก่ คนพิการ หญิงตั้งครรภ์ หลายครั้งเราจะเห็นที่นั่งตรงนี้ว่าง
รถไฟฟ้า MRT พาเราขึ้นจากใต้ดินมาลอยตัวอยู่เหนือพื้นดินในช่วงสถานีต่อๆ มา แต่พวกเราต้องลงที่สถานี Tanah Merah (EW4) เพื่อเปลี่ยนไปยังสายสีเขียวอีกขบวน คราวนี้เรานั่งไกลมาจนถึงสถานี Bugis (EW12) ซึ่งเป็นสถานีริมขอบของย่าน Kampong Glam มันอยู่ใกล้ย่าน Little India ที่เราจะไปพักมากที่สุด ถ้าเราจะใช้บริการรถไฟฟ้าเพื่อไปลงสถานี Little India ต้องต่ออีก 2 สายผ่านสายสีแดง (North South Line) และสายสีม่วง (North East Line) เปลืองโดยใช่เหตุแต่ต้องเดินนิดหน่อย เป็นการซ้อมเดินวันแรกในสิงคโปร์
เราเดินไปทางถนน Rochor Road แล้วเข้าถนน Jalan Besar ซึ่งก็จะไปบรรจบกับ Dickson Road ซึ่งเป็นที่ตั้งของโฮสเทลของเราอีกที ระหว่างทางก็เห็นร้านอาหารอยู่เรียงรายน่าสนใจอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ ภารกิจเร่งกว่าคือการเข้าไปเช็กอินที่พักก่อน
แล้วก็พบเรื่องน่าประหลาดใจเมื่อพบว่า ที่พักทั้งสองแห่งที่เราเลือกมันอยู่ฝั่งตรงข้ามของสี่แยก ใกล้กันแค่นี้เอง ที่พักของผมคือ Lofi Inn ซึ่งน่าจะเพิ่งเปิดใหม่ไม่นาน ส่วนของเพื่อนคือ Footprints การเลือกที่พักแบบ Hostel จะมีลักษณะเหมือนหอพัก คือเป็นห้องรวม ทำให้เราต้องเสี่ยงดวงเอาเองว่าจะเจอแขกร่วมห้องพักแบบไหน พนักงานต้อนรับของ Lofi Inn ดูแลเราอย่างดี แม้ว่าเราจะเป็นนักท่องเที่ยวที่พูดจาอังกฤษไม่คล่องแคล่วก็ตาม แต่สำเนียงอังกฤษแบบคนสิงคโปร์เชื้อสายจีนนี่ก็ฟังยากเหมือนกันแฮะ สิ่งที่ Lofi Inn ให้มากกว่าก็คือ มีลิฟต์ขึ้นลง 4 ชั้น ห้องพักของเรามีห้องน้ำในตัว ขณะที่ของ Footprints ต้องเดินบันไดขึ้นลง และห้องน้ำก็แยกต่างหากแบ่งชายหญิง แต่เมื่อเช็กอินเข้าพัก สิ่งหนึ่งที่เราต้องเจอก็คือ เราต้องจ่ายค่ามัดจำซึ่งจะได้รับคืนเมื่อเช็กเอาต์ ของ Lofi Inn เก็บที่ S$30/คน แต่ของ Footprints จะเก็บอยู่ที่ S$20/คน ครับ
เมื่อพบว่าแขกร่วมห้องมีแต่ผู้ชาย ก็เลยต้องสลับเอาเพื่อนผู้ชายมานอนด้วย หลังจากจัดการอะไรๆ เรียบร้อยแล้ว ความหิวมาเยือนบางคนจึงลงมาหาอะไรทานในร้านที่เล็งๆ ไว้ Yan Kee Noodle House บนถนน Jalan Besar ร้านก๋วยเตี๋ยวที่มีทั้งหมี่ซั่ว บะหมีน้ำลูกชิ้นปลา ที่ลองสั่งมาดู สำหรับคนไทยคงต้องสั่ง Spicy ควบคู่ไปด้วยทุกเมนู มิฉะนั้น รสชาติจะจืดชืดมาก เครื่องปรุงมีเพียงพริกน้ำปลาเท่านั้น และแม้ว่าจะสั่งแบบ Spicy แล้วก็ยังพบว่ามีความเผ็ดในแบบที่ไม่คุ้นเคยในก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา สนนราคาอยู่ที่ S$3.50 เป็นพื้นฐาน
อิ่มแล้วก็เดินกลับที่พัก ทักทายเพื่อนร่วมห้องนิดหน่อย ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ ได้เวลานอนแล้วสิเรา
คืนแรกในสิงคโปร์ แทบจะเรียกได้ว่า “นอนไม่หลับเลย”
[ แล้วมาต่อใน ตอนที่ 2 Universal Studios Singapore นะ ]