ในช่วงเวลาแห่งความโกลาหลของบ้านเมือง และโกลาหลภายในจิตใจ บางที การไปเยือนต่างที่ต่างถิ่นเสียบ้าง ก็อาจจะช่วยทำให้ใจมันผ่อนคลายไปชั่วครั้งชั่วคราวได้ ไม่นานมานี้ ผมก็สบโอกาสแวะไปเยี่ยมบ้านเมืองใกล้ๆ กรุงอีกแห่ง นั่นคือ จ.สุพรรณบุรี นั่นเอง
หลังจากนัดแนะกันในกลุ่มเพื่อนฝูงน้องนุ่งที่รู้จักกัน ก็ได้เวลาเดินทาง รวมตัวที่คอนโดฯ ผมเอง แล้ว 5 สมาชิกก็เดินทางด้วยโตโยต้า Yaris คันสีขาวมุ่งหน้าสู่บ้านพี่สาวอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้พบเจอกันมานานกว่า 6 ปี บ้านพี่คนนี้ เขาอยู่ในเขตจังหวัดอยุธยา แต่ติดกับเขตแดนสุพรรณบุรีเพิ่งไม่กี่ร้อยเมตร
หลังจากแวะพักกันประเดี๋ยวนึง เราก็เดินทางกันต่อด้วยรถกึ่งอเนกประสงค์ยี่ห้ออีซูซุ ไปแวะร้านก๋วยเตี๋ยวนายเท้า ต้องยอมรับว่า ก๋วยเตี๋ยวแห้งรสชาติอร่อยมากๆ มากกว่าก๋วยเตี๋ยวน้ำอีก อิ่มหนำแล้วก็มุ่งหน้าต่อ เข้าเมืองสุพรรณฯ ไปรับสมาชิกอีกคน แล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่ สามชุก อำเภอหนึ่งในสุพรรณบุรี ดินแดนคนพูดเหน่อแห่งหนึ่งในประเทศไทย
เราแวะศาลตายายสุพรรณบุรี แวะถ่ายหอคอยบรรหารกันที่นั่นนิดหน่อย ก่อนจากมา แล้วไปยังจุดหมายถัดไป… ‘วัดป่าเลไลย์’ สถานที่นี้ เคยมาเยี่ยมเยือนตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ได้มานมัสการหลวงพ่อโตในวิหารอันโอฬาร ก่อนจะเดินทางกันต่อ ไปยังจุดหมายถึงจริงๆ ของเราเสียที
แม้ว่า บ้านเกิดจะอยู่ไม่ห่างจากที่นี่นัก แต่ก็ไม่เคยเยื้องย่างเข้าสู่ ‘สามชุก’ แม้แต่น้อย
บ่ายโมงเศษ.. คณะของเราเพิ่งมาถึงตลาดสามชุก
ด้วยอากาศที่ร้อนจัด จึงอยากจะจอดรถไว้ใกล้กับตลาดมากที่สุด และด้วยความที่เป็นวันอาทิตย์ คนจึงเยอะ จนหาที่จอดยาก วนเป็นสองรอบในที่สุดก็ต้องไปจอดที่ “บ้านพักตำรวจ” แต่ก็ทำให้ได้ช้อปอะไรกันแถวนั้นด้วย โดยเฉพาะร้านขายหมวก ใบละ 20 ร้านนี้…
นอกจากจะมีหมวดสานขายแล้ว ก็ยังมีกระเป๋าสาน และตะเกียงน้ำมันที่เคยคุ้นหน้าตามันกันมาตั้งแต่เด็กอีกด้วย เดินมาอีกหน่อย ก็ถึงแล้ว “ตลาดสามชุก ตลาดร้อยปี” ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางตลาดๆ อีกแห่งที่ถูกพลิกฟื้นเข้าสู่การรับรู้ของคนไทย
ไปถึงก็เจอป้ายทางเข้าตั้งตระหง่านรอท่า มีตู้ไปรษณีย์สไตล์ย้อนยุคยืนต้อนรับอยู่ไม่ห่าง เราพร้อมแล้วที่จะเดินผ่านเข้าสู่อดีตอีกครั้ง…
ที่นี่ มีหลายอย่างที่เราเองหลงลืมไป อดีตที่เราคุ้นเคยเมื่อครั้งยังเด็ก ขนม ของกิน ของใช้ วันนี้ เราได้กลับมาเจอหน้ามันอีกครั้ง นึกถึงวันวานที่เคยคุ้นตา แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่เพิ่งเคยเห็นหน้า นี่อาจจะเป็นอีกโลกเหมือนอย่างใน “Spirited Away” ที่เราหลุดเข้ามา แต่เราเชื่อว่า เราจะกลับออกไปได้แน่นอน…
ขนมสาลี่ทำเอง ที่มีอายุอยู่ได้เพียง 3 วัน (ถามคนขายมา) ซื้อมาฝากเพื่อนๆ น้องๆ ที่ออฟฟิศโดยไม่ได้ลิ้มสักคำ, ขนมที่ทำจากแป้ง ชื่อออกไหมๆ อะไรสักอย่าง, ขนมลืมกลืน ขนมสีสวยในถ้วยเล็กๆ หวานไม่มากไม่มาย, ไอติมแท่งโบราณ รสต่างๆ หลากหลายที่ได้กินมาแต่เด็ก, เสียดาย ไม่ทันได้เห็น ขนมไข่ปลา คงเพราะเดินไปไม่ถึง
นอกจากนี้ ยังพบว่ามี ทั้งของคาวมากมายรอท่าให้เราชิม ไม่ว่าจะเป็น ห่อหมกยกหม้อ ห่อหมกที่อยู่ในหม้อดินใบเล็กๆ น่ารัก, หรือจะจับใส่ไม้ละสองก้อนกินกันร้อนๆ ก็พอได้ หรือจะเป็นบ๊ะจ่างเจ้าเก่า, สับปะรดภูแล ที่ผมไม่ได้แวะชิม, ทอดมันไข่เค็ม ทอดมันไข่เยี่ยวม้า แถมยังมีของเล่นบางอย่างที่ทำให้นึกไปถึงอะนิเมะเรื่อง “โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย” ไปได้
จุดสำคัญอีกจุด ที่สมาชิกในทริปค่อนข้างประทับใจ ก็คงเป็น “บ้านโค้ก” จุดที่ต้องเสียค่าเข้าคนละ 5 บาท เข้าไปดูและถ่ายภาพกับสิ่งของสะสมที่เกี่ยวกับโค้ก แบรนด์น้ำดำที่เป็นอันดับหนึ่งของโลก (แต่อาจจะที่สองในไทย) ที่คนไทยคุ้นเคยมานาน มีอะไรให้ถ่ายเยอะทีเดียว แถมจัดแสงไว้สวยงาม แต่ความที่แสงน้อย ก็ทำให้ภาพอาจจะสั่นไหวไปบ้างอะนะ
บ่ายสามกว่า แม้ว่าจะยังเดินกันไม่ครบ แต่ก็ได้เวลาเดินทางกลับ เพื่อไปทานข้าว(เกือบ)เย็นกัน ที่ร้าน “กุ้งเป็น” พร้อมๆ กับการกินเค้กวันเกิดของหนึ่งในคณะด้วย
ได้ไปเปิดหูเปิดตาในที่ใหม่ๆ อีกแล้ว และก็กลับมาหน้าดำคร่ำเคร่งกับงานเช่นเดิม…