วันนี้ ผมก็ยังคงพอคุณกลับมาอยู่ที่ลานสนสามใบอีกเช่นเคย ไม่รู้เจ้าประจำทั้งหลายจะเบื่อกันรึยังนะ ถ้าเบื่อแล้วช่วยส่งเสียง(เป็นข้อความ)หน่อย จะได้หยุดเขียน เหอๆ
จะว่าไป ก็มีเรื่องอีกไม่เยอะหรอกมั้งที่จะเขียนต่อ วันนี้ ผมรู้สึกว่า ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะหยิบมาเล่ากัน
พวกเราขึ้นถึงลานสนสามใบของภูสอยดาวในเย็นของวันศุกร์ที่ 7 ธ.ค. 2550 พักค้างแรมบนนั้นก่อน 1 คืน ก่อนที่เช้าวันถัดมา พวกเราจะตื่นมาทำอาหารเช้าง่ายๆ กินกัน ในวันนี้ เป็นวันเดียวที่เราจะได้อยู่บนนั้นครบเต้มวัน เราจึงคุยกันว่า จะทำอะไร จะไปไหนกันดี เรื่องจะเดินขึ้นยอดภูสอยดาว ที่สูง 2,102 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลนั้นไม่ต้องพูดถึง ใครจะขึ้นไปกัน แค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้ว…
(ยอดสูงสุดของภูสอยดาว อยู่ด้านหลังทิวสน ที่เห็นเป็นเมฆหมอกสีขาวนั่นแหละครับ)
ในที่สุด ก็ลงความเห็นกันว่า เราจะเดินเที่ยวรอบลานสน เดินเวียนซ้ายไปตามทาง และถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจาก “น้ำตกสายทิพย์” ก็แล้วกัน
การเดินทางเป็นวงรอบของเราจึงเริ่มขึ้น…
—————————————
น้ำตกสายทิพย์
หน้านี้มันหน้าหนาว อย่างที่รู้กัน น้ำตกสายทิพย์ที่แสนสวยในตอนนี้ ไม่เหลือน้ำให้ไหลหลากอย่างในหน้าฝนอีกแล้ว พวกเราจึงแค่เดินทางไม่กี่เมตร เพื่อถ่ายรูปว่าเราได้มาถึงแล้ว แค่ลงไปก็เจอชั้นแรกที่เรียกได้ว่า สูงพอสมควร เสียวจะตกลงไปเหมือนกันนะครับ
มีมอสขึ้นอยู่เพียบ จินตนาการได้ว่า หน้าฝน บริเวณนี้จะชุ่มชื้น และสวยงามเพียงใด
ในที่สุด ก็มีรูปผมอยู่ในบล็อกนี้จนได้เนอะ (คนซ้ายสุดนั่นไง)
————————————–
เขตแดนไทย-ลาว
เรากลับขึ้นมาจากน้ำตกสายทิพย์อันเหือดแห้ง ถ่ายรูปกันนิดหน่อย ก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายถัดไป…
อย่างที่เล่าไปเมื่อวันก่อน ผม บังและพี่ถิตย์ เคยเดินฝ่าความมืดไปหาเขตแดนลาวตามที่นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งบอกเรา แต่ด้วยความมืด เราหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ตอนเช้าตรู่ของวันนี้ พวกเราจึงไปที่นั่นอีกครั้งในตอนเช้า ไปโทรมาเรียบร้อยครับ แต่เขาไม่รับสายผมอะ… -_-”
แต่ในครั้งนี้ พวกเราไปกันหมดทั้งแปดคน (ส้มไม่มา พักผ่อนนอนเฝ้าเต็นท์) เดินข้ามเขตแดนลาวไปเดินคุยโทรศัพท์กัน …ในเขตประเทศเพื่อนบ้าน ได้คุยแล้วเรา อิอิ น่าสงสัย ว่าทำไมสัญญาณมือถือถึงต้องไปมีในเขตลาวด้วย เขตบ้านเราแท้ กลับไม่มี มีโทรศัพท์แต่ใช้ไม่ได้ ก็ยังดี เอาไว้ทำไฟฉายได้อยู่…
แถมท้ายด้วยการถ่ายรูปเล่นบนดินแดนเพื่อนบ้านอย่างหน้าตาเฉยละกัน
เป็นไงล่ะ แอ็คชั่นแต่ละท่า เท่มั้ย…เพื่อนเรา
——————————–
ลานจอดเฮลิคอปเตอร์
ที่นี่มีลานจอดด้วยรึนี่ วันหลังไม่ต้องเปลืองแรงเดินขึ้นมาแล้ว เช่า ฮ. มาลงตรงนี้เลยแล้วกัน เหอๆ
หลุมบังเกอร์ – สมรภูมิรบ
รอบๆ ลานสน จะพบกับหลุมบังเกอร์กระจายอยู่ประมาณ 3-4 จุด เพราะที่นี่ เคยเป็นส่วนหนึ่งของเหตุพิพาทกับลาวเรื่องเขตแดนไง ชื่อ “บ้านร่มเกล้า” อาจจะมีหลายคนจำกันได้นะ ปกติ หลุมบังเกอร์ มักจะมีทางเดินแคบๆ เพื่อให้สามารถหลบหนีหรือเคลื่อนย้ายได้โดยศัตรูไม่เห็น
ตอนนี้ มันก็เป็นแค่หลุมธรรมดาๆ ไปแล้วละ
ถึงตรงนี้ ทุกคนก็ชักจะหิวกันแล้ว ในที่สุด ก็นั่งพัก ณ จุดๆ หนึ่งระหว่างทาง ทิวทัศน์สวยงามเหมาะแก่การมองขณะกินข้าวเป็นอย่างยิ่ง ข้าวหอมมะลิกระป๋องที่พกกันมาตลอดทาง ถูกหยิบออกมาเปิดฝา แล้วกับข้าวแห้งๆ ต่างๆ นานาก็ถูกส่งลงสู่กระเพาะพร้อมเม็ดข้าว
———————————
หลังจากนั้น พวกเราก็เดินต่อครับ ไปตามเส้นทางรอบลานสน คราวนี้ เราจะไปยังจุดที่สูงสุดของลานสน เป็นได้ทั้งจุดชมวิว จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น เป็นทางเดินลงจากลานสนอีกทางที่หลายคนไม่รู้ ว่ามันแสนสาหัสมากเพียงใด
ลักษณะของมันเป็นเนินเตี้ยๆ ที่ขึ้นลงสบายๆ ไม่หนักหนาอะไร เพียงแค่อย่ามองลงไปข้างล่างเท่านั้น เพราะ “มันเสียวววว…”
———————————-
จุดชมวิว
อยู่ถัดมาจากจุดสูงสุดบนลานสนไม่ไกลกันนัก ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นพื้นที่โล่งๆ ให้ชมวิวได้ นั่งพักชิลล์ๆ ได้ ถ่ายรูปได้ ก็แค่นั้น
เราเริ่มสังเกตเห็นเมฆที่เริ่มก่อตัวหนาขึ้น สีเข้มขึ้น กลัวว่า ฝนจะมาตกเอาในเวลาอากาศหนาวๆ ซึ่งจริงๆ ธรรมชาติก็คงไม่วิปริตหรือใจร้ายปานนั้นหรอก
ถึงตรงนี้ ผมรู้สึกว่า กล้องตัวเองเริ่มผิดปกติ ด้วยความที่ใช้มัน โดยไม่เคยเปิดคู่มือ ไม่เคยนั่งลองศึกษาแต่ละเมนูอย่างถ้วนถี่ ถึงสังเกตเห็น แต่ก็ไม่สำเหนียกว่า มันคือสาเหตุ ภาพที่ได้ส่วนใหญ่มืดดำ ทำยังไงก็ยังมืดอยู่ จนในที่สุด ต้องใช้แฟลชช่วย…
ไม่นานก็เริ่มรู้ตัว ว่าที่สังเกตค่าที่ไม่เคยตั้งเลยนั่นแหละ คือจุดที่เป็นสาเหตุ พอปรับตั้งค่าใหม่ มันก็กลับมาหายเป็นปกติ เฮ่อ… รอดไป
เวลาเพิ่งล่วงไปเพียงบ่ายสองเอง หากเดินต่อจนครบรอบ ก็จะไปเจอจุดสุดท้าย คือ จุดชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งมันยังไม่ตกแน่ๆ ก็มันบ่ายสองนี่ เลยเดินกลับเต็นท์กันก่อน…
ผมไปทำธุระหนแรก นับแต่ขึ้นภูมา กลับมาก็พบเพื่อนๆ ผู้ชายไปหาเศษไม้เศษฟืนมาก่อกองไฟ ผู้หญิงก็จัดการงานครัวเช่นเคย
รอเวลาพระอาทิตย์ตก…
——————————
จุดชมพระอาทิตย์ตก + ป้ายผู้พิชิตลานสนสามใบ
เมื่อถึงเวลาเย็นย่ำ พวกเรารุดเดินไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตก เพื่อรอถ่ายภาพกัน มีนักท่องเที่ยวทั้งสาวทั้งหนุ่มมารอถ่ายภาพกันอยู่ก่อนแล้ว
การมาเที่ยวครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของการทดลองถ่ายด้วยวิธีการหลายๆ อย่างที่ไม่เคยมาก่อน การถ่ายภาพพระอาทิตย์ตก ด้วยขาตั้งกล้องก็เพิ่งจะเคยเป็นครั้งแรก แถมเวลาถ่าย ก็ลองไปเรื่อยๆ ใช้โหมดนั้นบ้าง โหมดนี้บ้าง อันไหนได้ภาพดีก็ดีไป อันไหนแย่ก็ต้องมานั่งลบกัน
แล้วในที่สุด กลางวันแบบเต็มวันบนลานสนสามใบ ภูสอยดาว ก็กำลังจะผ่านพ้นไป…
ผ่านคืนเหน็บหนาวอันยาวนานอีกคืน ก่อนเข้าสู่รุ่งอรุณของวันใหม่ วันที่ต้องลงจากภูสอยดาวกันเสียแล้ว….