ทริปดำน้ำมาราธอน 5 จุดของเรายังไม่จบ เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสาม ความอ่อนล้าเริ่มเข้ามาเยือนบ้างแล้ว แต่ความสนุกที่จะดำยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม น่าเสียดายที่กล้องไม่สามารถถ่ายใต้น้ำได้ ไม่เช่นนั้น คงมีภาพปะการังและภาพสวยๆ มาฝากกันอีกเพียบ
หาดสอง
คาดว่า จะเรียกไม่ผิดนะ หาดนี้ อีกจุดที่อาจจะไม่ได้แตกต่างมากสักเท่าไหร่กับหาดที่แล้ว แต่ความที่ดันไปกินแฟนต้าและขนมหลังจากขึ้นมาจากน้ำ เลยรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ยังพอไหว
ลงน้ำได้ก็เกาะครูฝึกตามเคย แล้วคราวนี้ก็ได้ของสมนาคุณพิเศษ อยู่ดีๆ ครูก็ดำดิ่งลงสู่พื้นน้ำอีกครั้ง มองลงไปไม่ค่อยจะเห็นว่ามันคืออะไร แต่พอโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ เขาก็ชูให้เราดู “ปลาปักเป้าหน้าหมา” ในมือ เป็นปลาปักเป้าที่อมน้ำเข้าไปจนบวมทั้งตัว และมีเข็มสีขาวเล็กๆ โผล่ขึ้นมาตามตัว แต่สามารถจับได้เพราะมันไม่ได้แหลมคมหรือมีพิษแต่อย่างใด ออกจะไปในทางน่ารักด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ถ่ายรูปมาให้ดูไม่ได้ เสียดายจริงๆ
ขึ้นมาบนเรืออีกครั้ง พยายามจะหยุดอยู่นิ่งๆ ไม่กินอะไรอีก เหลือจุดสุดท้ายแล้ว ไหนๆ ก็ลุยมาตั้งแต่สาย ต้องไปต่อให้จบให้ได้
ร่องน้ำจาบัง
มาถึงแล้วจุดสุดท้าย จุดที่ห้าของวันนี้ แต่เป็นจุดที่สี่ที่จะได้ลงไปดำ คราวนี้เป็นร่องน้ำที่ลึกกว่าทุกจุดที่ดำมา และลึกกว่าทุกจุดที่เคยดำมา ที่นี่มีปะการังหลากหลายสีรวมแล้ว 7 สีด้วยกัน หรือที่เขาเรียกว่า “ปะการัง 7 สี”
คราวนี้ใช้วิธีโดดลงจากเรือเฟอร์รี่ แล้วเกาะไปตามเชือก ตามๆ กันไป จากจุดแรกๆ มันมืดมากๆ มองแทบไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงปลาเสือที่ว่ายฝ่าความมืดไป จนสักพัก เราก็เริ่มเห็นว่า ที่นี่มีความพิเศษกว่าที่อื่นตรงเป็น “ปะการังอ่อน” มีสีสันมากกว่าพวกปะการังที่เราเห็นในจุดผ่านๆ มา พวกนั้นจะสีน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้นับหรอกว่าครบ 7 สีหรือไม่ แต่มันสวยดี แค่มันน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง ดูแป๊บเดียวก็หมดแล้ว
ขากลับ ภาพที่เห็นนั้นสวยมาก ระหว่างไต่ตามเชือกกลับไปยังเรือ หมู่ปลาเสือว่ายสวนพวกเรามา เป็นภาพที่เหมือนฝันอีกภาพหนึ่งเลยทีเดียว คว้ามือไปจะจับมัน แต่มันหลบหมดเลยแฮะ อิอิ
ในที่สุด การดำน้ำของเราก็จบลง นับเป็นการดำน้ำที่จุใจที่สุดตั้งแต่เคยไปมา (สอบถามบางคนเคยดำวันเดียว 7 จุด นั่นสุดยอดยิ่งกว่า)
19.00 น.
ข้ามมาถึงเวลาค่ำเลยก็แล้วกัน สี่สหายกลับมานั่งทานข้าวด้วยกันที่จุดเดิม อาหารยังคงเอร็ดอร่อยเช่นเคย ทีมงานทัวร์มานัดแนะการเดินทางในวันรุ่งขึ้น ที่เราจะต้องกลับกันแต่เช้า
แต่ก่อนจะกลับไปนอนพัก วันนี้ พวกเราสามในสี่ก็ไปเดิน Walking Street อีกครั้ง คราวนี้จุดหมายคือ ไปทานโรตีที่ร้าน “Pancake Lady” เป้าหมายที่มองไว้ตั้งแต่คืนแรก แต่ในที่สุด การรอคอยที่ยาวนานสิ้นสุดลงจนได้ ทานทั้งไอศกรีม และโรตีกล้วยชีส ในตอนที่ฝนเริ่มจะกลับมาลงเม็ดอีกครั้ง ต้องบอก ว่ารอนานมากๆ ครับร้านนี้
ค่ำคืนนั้น เปลือกตาก็ดูหนักๆ ตามเคย ไม่นานก็หลับผลอยไป …จนเช้า
5 เม.ย. 2553 เวลา 08.00 น.
หลังเก็บข้าวเก็บของ แล้วออกมาทานอาหารเช้าหลากเชื้อชาติเช่นเดิม อิ่มหนำกันจนพุงกางแถมทานไม่หมด ในที่สุดก็ได้เวลาออกเดินทาง พวกเราทั้งสี่ลงเรือแท็กซี่ลำเล็กๆ เพื่อไปลงเรือเฟอร์รี่ ได้เวลาแห่งการจากลา เกาะหลีเป๊ะ แล้วสินะ
แล้วเรือเฟอร์รี่ก็พาเราไปถึงท่าเทียบเรือปากบารา ได้เวลาแยกย้ายกันแล้วสินะ
เพราะความที่ไม่ได้เตรียมการสำหรับการกลับไว้ หรือเตรียมแต่ไม่ได้กระตือรือล้น ก็เลยไม่ได้จองตั๋วรถขากลับ ในที่สุด จากการเช็คนู่นนี่นั่น ก็ได้เที่ยวรถกลับที่ 19.30 น. จากหาดใหญ่เป็นเที่ยวที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ได้แต่อาศัยแท็กซี่คันพิเศษของอาดังซีทัวร์ไปส่งที่หาดใหญ่ เป็นครั้งแรกที่ต้องเดินในหาดใหญ่คนเดียว เตร็ดเตร่อยู่เดียวดายจวบจนค่ำมืด แล้วมาขึ้นรถทัวร์ที่ท่ารถ บขส. กลายเป็นว่าเป็นรถเที่ยวที่ออกเวลา 20.00 น. รอเพิ่มอีกครึ่งชั่วโมง
ก่อนจะได้เวลาเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ
การเดินทางคนเดียวช่างแสนเปลี่ยวเหงา … ตอนมาเรายังสนุกที่มีเพื่อนร่วมทางตั้ง 3 คน แต่ขากลับไม่รู้จักใครเลย หลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดทาง หดหู่กลับถึงบ้านในเวลาเกือบ 08.00 น. อาบน้ำเสร็จก็ไปทำงานต่อเลย
จบลงแล้ว ทริปที่มีความสุขมากมาย แต่สุดท้าย จบลงด้วยความเปลี่ยวเหงา เหลือทิ้งไว้เพียงภาพถ่ายและความทรงจำดีๆ
เพิ่มเติม: จองที่พักราคาถูกบนเกาะหลีเป๊ะ
เดินทางมาถึงท่าเรือปากปารา
โดนค่าเสียหายไปเท่าไหร่อ่าพี่
ค่าแพ็กเกจเที่ยวบวกห้องพัก ก็ห้าพันกว่าๆ ค่ารถล่องใต้และกลับขึ้นมากรุงอีก ก็สองพันได้อะครับ หุหุ