คืนที่สองผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วในยามเราหลับ ตื่นขึ้นในช่วงตี 5 ครึ่งเพื่อลุกขึ้นตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อมๆ วันนี้ เราต้องไปทานข้าวเช้าในห้องอาหารของโรงแรมให้ได้ ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี แพ็คกระเป๋าเรียบร้อยเพราะแพ็คต่อจากเมื่อคืน ไม่มีอะไรตกหล่น แต่งตัวเสร็จก็เข็นกระเป๋าลงไปวางไว้หน้าล็อบบี้ ก่อนขึ้นไปทานอาหารที่ชั้นสอง และได้พบว่า ที่นี่มีเมนูหนึ่งที่อร่อยมาก
น่าเสียดายอย่างหนึ่ง คือ ผมไม่ได้หยิบกล้องขึ้นมาถ่าย อาหารเช้าในช่วงเวลาที่ยังไม่ค่อยตื่นดี และได้พบว่า กล้วยหอมนำเข้าที่นี่อร่อยมาก เขาจะตัดแบ่งเป็นท่อนๆ โดยที่ยังมีเปลือกอยู่ให้เราตักกันไปทาน การกินกล้วยเป็นอาหารเช้าในเกาหลีอาจดูไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไป ทุกคนลงมารอหน้าล็อบบี้ตามเวลานัดหมาย
ที่หน้าโรงแรม ทำให้เรารู้ว่าวันนี้ เราหายใจออกมาเป็นไอ แสดงถึงอากาศที่หนาวเย็นระดับเลขตัวเดียว
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2557
แปดโมงกว่าตามเวลาเกาหลี รถบัสคันขาวเคลื่อนออกจากโรงแรม Benekia Win Hotel วันนี้ เราจะจากซูวอน (Suwon) ไปยังกรุงโซล (Seoul) วันนี้เราจะไปขึ้นภูเขาลูกเดียวในนครสำคัญแห่งนี้ ภูเขานัมซาน ภูเขาที่เป็นที่ตั้งของหอคอยที่รู้จักกันในนาม ‘Seoul Tower’ หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ ‘N Seoul Tower’ นั่นเอง
08.30 น.
รถบัสของเราช่างแสนไฮโซขับพาเราขึ้นไปจอดข้างบนโน่นเลย แต่ก็ยังเส้นทางให้เดินขึ้นไปเองอีกนิดหน่อยให้พอรู้ว่าการขึ้นเขามันเป็นเช่นไร อากาศยามเช้าแถมบนนี้มันหนาวเย็นมาก แต่เสื้อผ้าที่ใส่มาเพื่อเตรียมรับลมหนาวก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี แม้จะหนาวแต่ก็ไม่ถึงกับต้องใช้ถุงมือหรือหมวกแต่อย่างใด
บนนี้ มีห้องไว้รองรับทั้งจุดเริ่มเดินขึ้นและข้างบนที่เป็นชั้นของห้างขายของ ซึ่งเราก็ใช้บริการมันทั้งสองที่ มีจุดชมวิวให้ได้ถ่ายรูปเห็นเมืองโซลทั้งเมืองเบื้องล่าง ส่วนบนฐานของหอคอยก็มีต้นไม้ที่เปลี่ยนสีอยู่ประปราย บนหอมีกุญแจที่ถูกผูกติดไว้กับรั้วเต็มไปหมด เป็นจุดถ่ายรูปที่สวยแต่เราไม่ประสงค์จะร่วมเป็นหนึ่งในกุญแจเหล่านั้น
เพราะรักของเราไม่ได้เกี่ยวกับกุญแจ…แต่อย่างใด
12.00 น.
เที่ยงแล้วสินะ ได้เวลาทานกลางวัน วันนี้เราแวะที่ร้านปิ้งย่างกันบ้างดีกว่า อีกวันที่ต้องหัวเหม็น บุฟเฟ่ต์ที่เติมได้ไม่อั้น มีทั้งเนื้อหมูและเนื้อวัว เมนูแนะนำคงเป็นหมูสามชั้น สไลด์ให้มาแบบยาวๆ ให้กรรไกรเรามาตัดเอาเอง อิ่มหมีพีมันกับมื้ออร่อยกันอีกครั้ง
ปิดท้ายด้วยไอศกรีมโคนที่ตักเอง แล้วก็ได้เวลาเดินเที่ยวต่อ ที่นี่อยู่ในโซนใกล้มหาวิทยาลัยฮงอิก มันจึงมีชื่อว่า “ย่านฮงแด” ที่นี่จะมีแหล่งท่องเที่ยว 2 แห่งที่อยู่ด้วยกัน และบัตรของเราก็ใช้ได้ทั้งสองที่
หนึ่งคือ ‘Ice Museum’ พิพิธภัณฑ์น้ำแข็งที่ข้างในของทุกอย่างจะแกะสลักจากน้ำแข็ง การเดินจึงต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นสักหน่อยเพราะมันจะลื่นในบางจุด ถ้าแต่งตัวไปไม่อบอุ่น เข้าไปก็จะรู้สึกหนาวได้ในบัดดล กลุ่มของเราจึงใช้วิธีรีบเดินรีบออก ก่อนจะแข็งตายไปเสียก่อน
อีกหนึ่ง ‘Trick Eye Museum’ แหล่งท่องเที่ยวที่ข้างในคือภาพวาดที่มีพื้นที่ให้เราเข้าไปร่วมอยู่ในภาพนั้น และเติมแต่งความสนุกด้วยมุกฮาตามแต่ว่าใครจะคิดได้ แม้คิดไม่ออก เขาก็มีตัวอย่างเอาไว้ให้ เหมาะอย่างยิ่งกับสาวๆ ที่ชอบการถ่ายภาพ
14.50 น.
เวลาช้อปปิ้งของพวกเราเหลือน้อยมาก เพราะใกล้ได้เวลานัดหมายแล้ว จึงได้แต่เดินลวกๆ ดูของสองข้างไปในตลาดย่าน “ฮงแด” ที่นี่จะเป็นตลาดที่ขายของวัยรุ่นหน่อยเพราะเป็นย่านใกล้มหาวิทยาลัย ผู้คนที่เดินผ่านเราไปมาก็มีแต่วัยรุ่น ซึ่งก็พอจะพบสาวๆ หน้าตาดีๆ ปะปนมาบ้าง ข้าวของอย่างเสื้อผ้าก็เรียกได้ว่า ราคาไม่แพงเลย เสียดายอย่างเดียวที่เวลานั้นน้อยไปหน่อยนั่นเอง
เดินกลับออกมาที่ถนนใหญ่ เจอร้าน New Balance น่าสนใจแต่ไม่ทันได้แวะ เพราะรถบัสมารับเราพอดิบพอดี
15.30 น.
ได้เวลาเดินทางกันต่อ คราวนี้ได้เวลาของการช้อปปิ้งอีกครั้ง แต่เป็นที่ห้างดิวตี้ฟรีมีชื่ออย่าง Dong Hwa ที่นี่มีสินค้าหลากหลาย ทั้งเครื่องสำอาง น้ำหอม และเครื่องหนังต่างๆ สำหรับคนที่ได้ออร์เดอร์มา ที่นี่อาจส่วนหนึ่งของสถานที่บังคับ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คิดจะมาซื้อของพวกนี้ แทบจะไม่มีความหมาย ระหว่างที่รอเวลากันจึงคิดว่าออกไปเดินเล่น “คลองชองเกซอน” ดีกว่า คลองที่ถูกพัฒนาจากคลองรับน้ำเสียในสมัยอดีตกลายเป็นคลองน้ำใสและกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
แต่น่าเสียดายที่วันนั้น คลองชองเกซอนมีงานเทศกาล ผู้คนมากมายมาเที่ยวในบริเวณนั้น กว่าจะเดินฝ่าฝูงชนไปถึง นึกภาพว่าจะต้องใช้เวลาเท่าใด ต้องเจอกับผู้คนมากมาย ถ่ายภาพออกมาย่อมไม่สวย ขณะเดียวกัน จะเหลือเวลาพอให้เดินกลับสักแค่ไหน เราจึงตัดสินหันหลังกลับทันที ปล่อยให้คลองชองเกซอนรอเก้อไม่ได้เจอกับเรา
18.35 น.
มื้อเย็นวันนี้ ฝากท้องไว้ที่บุฟเฟ่ต์ขาปูจัดไปไม่อั้น ด้วยเมนูหลากสไตล์หลายเชื้อชาติที่ร้าน ‘Under The Sea’ ก่อนจะย้ายที่ไปช้อปปิ้งกันต่อที่ ‘มยองดง’ หรือชื่อที่คนไทยเรียกกันติดปากกว่า ‘เมียงดง’ นั่นเอง ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นตลาดที่คนไทยที่ไปทัวร์เกาหลีต้องแวะที่นี่กันเป็นภาคบังคับ
ด้วยลักษณะที่เหมือนสยามแสควร์บ้านเรา มีร้านค้ามากมาย ผู้คนยั้วเยี้ย ถนนตัดกันไปมาเดินครั้งแรกอาจจะงง ร้านค้าบางแบรนด์ก็เปิดซ้ำไปซ้ำมาจนนึกว่าอยู่ในเขาวงกต แต่สินค้าบางอย่าง คุ้มมากที่จะหาซื้อจากที่นี่ ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็คือจะเป็นเครื่องสำอางนั่นแหละ
ส่วนตัวผมเอง พยายามหารองเท้าที่หมายตามาจากเมืองไทย แต่หาที่นี่ไม่พบ จึงเรียกได้ว่า “ไม่ได้อะไรกลับไป”
เมื่อยขากันไปตามๆ กัน หลายคนได้ของมาเต็มสองมือ หลังรวมตัวได้ครบคนแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับที่พัก ซึ่งคืนนี้ เราเปลี่ยนมานอนในกรุงโซล ณ โรงแรมที่ดูท่าทางใหม่ตั้งอยู่ในซอกไปนิดนึง มันคือ ‘Co-Op City Hotel Stayco’ ออกแบบได้ค่อนข้างน่ารัก บนจากห้องพักลงไปเห็นสถานีรถไฟที่เปิดให้บริการถึงเที่ยงคืนเลยแหละ
ด้านล่างมี GS25 ร้านสะดวกซื้ออยู่ตรงข้ามล็อบบี้ แต่อาจจะดูคับแคบนิดนึงในส่วนต้อนรับด้านล่าง ขณะที่ข้างบนเพียบพร้อมและสะดวกสบายด้วยฮีตเตอร์บนพื้นห้อง
และเหมือนเดิม การผสมน้ำร้อนยังคงต้องใช้ศิลปะเช่นเดิม แต่แตกต่างตรงที่ ที่นี่ต้องกดปุ่มเริ่มการใช้งานน้ำร้อนเอง ตั้งค่าอุณหภูมิได้แต่บางทีก็ไม่ยอมร้อนให้ เพิ่มอุณหภูมิไปมา ปรากฏได้น้ำร้อนมาลวกตัวเอง
เอาแค่นี้ก่อนนะ นอนดีกว่า พรุ่งนี้วันสุดท้าย!
ทัวร์ใบไหม้เปลี่ยนสี | [ เที่ยวเกาหลีวันแรก – อินชอน ] [ เที่ยวเกาหลี วันสอง – เกาะนามิ ] [ เที่ยวเกาหลี วันที่สาม – โซลทาวเวอร์ ฮงแด และเมียงดง ] [ เยือนเกาหลี วันสุดท้าย – บุกชอนฮันอก ]
2 คอมเมนต์