หลังนอนหลับเป็นตายเพราะแทบไม่ได้นอนมาเลย และจำเป็นต้องรีบตื่นเพราะเกรงว่าจะเกินเวลานัด ทำให้คืนแรกในเกาหลีผ่านไปอย่างรวดเร็วและยังนอนไม่พอ ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวกันเพื่อจะไปทานข้าวเช้า แต่ดูเหมือนว่าก็ยังไม่ทันด้วยเหตุผลบางอย่าง ในที่สุดก็ทำให้วันนี้ ไม่ต้องกินข้าวเช้า ทนหิวกันนิดหน่อยก็แล้วกันนะพวกเรา
ห้องน้ำที่โรงแรม Benekia Win Hotel นี่ค่อนข้างลำบากในการผสมน้ำร้อนเย็นนิดหน่อย โดยเฉพาะสัตว์เมืองร้อนอย่างพวกเรา ที่มักจะพบว่าน้ำมันร้อนจนผิวจะสุกอยู่แล้ว การผสมให้อุ่นพอดีกับที่ต้องการจึงดูเป็นศิลปะอย่างมากทีเดียว วันนี้ พวกเราจัดเต็มเสื้อผ้ากันพอสมควร อย่างน้อยก็ยังเก็บไว้ในบนรถบัสได้เวลาที่ไม่ใช้
และที่เราต้องตื่นแต่เช้า นั่นก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ วันหยุดเป็นเหมือนวันครอบครัวของคนเกาหลี ที่มักจะออกมาเที่ยวด้วยกัน ทำให้รถค่อนข้างติด จนเราต้องออกกันแต่เช้าเพื่อไปถึงและพอจะมีเวลาให้ได้เดินเที่ยวกัน
วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2557
ด้วยความฉุกละหุก วันนี้ ครอบครัวของเราเลยไม่มีใครได้ทานข้าวกันสักคน เดินทางกันแต่เช้าด้วยรถบัสคันเดิมจากโรงแรมที่พักราวๆ 08.00 น. เพื่อจะไปยังจุดหมายแรก “เกาะนามิ” ดินแดนที่ใครๆ ที่มาเกาหลีต้องมาแวะเที่ยวอย่างน้อยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการตามรอยซีรี่ส์ดังหรือไม่ก็ตามที
10.00 น.
ในยามฤดูใบไม้ร่วงช่วงนี้ เป็นช่วงที่ใบไม้จะเปลี่ยนสี จากเขียวกลายเป็นเหลืองหรือแดงก่อนจะร่วงหล่นจนหมดต้น ช่วงที่เราไปดูจะเป็นช่วงเหมาะแก่การถ่ายภาพมาก เพราะหลายๆ ต้นเปลี่ยนสีจนหมดต้นแล้ว และบางชนิด ใบของมันก็หล่นจนแทบจะหมดต้นแล้วเช่นกัน
การเดินทางไปเกาะนามิปกติแล้ว เราจะขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามไปยังตัวเกาะ แต่เขาก็มีบริการที่หวือหวาเพิ่มขึ้นมา นั่นคือ การนั่งไปบนรอกที่จะพาคุณลอยข้ามน้ำไปยังเกาะกันทีละคู่ ซึ่งก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง ที่นี่ เตรียมโบรชัวร์ภาษาไทยไว้ให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยโดยเฉพาะเลย
แรกเริ่ม เราก็เดินตามไกด์ที่จะอธิบายให้เราทราบถือที่มาของเกาะกลางทะเลสาบแห่งนี้ จุดสำคัญๆ ของเกาะ ก่อนที่จะปล่อยให้ลูกทัวร์มีเวลาเดินและเก็บภาพกันเอง สุดท้าย มาเจอกันที่จุดนัดหมายตามกำหนดเวลา
ทุกจุดบนเกาะแห่งนี้สามารถกลายจุดถ่ายภาพได้เกือบทั้งหมด ป้ายต่างๆ ทำไว้หลากหลายภาษา และก็ไม่ลืมที่จะใส่ป้ายภาษาไทยให้คนไทยอ่านเอาไว้ด้วย
เราเดินกันไปไม่ค่อยจะครบนัก แต่ก็ได้ลองแวะทานของที่เขาว่าอร่อยขึ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก อันละ 2,500 วอน หรือจะเป็นซาลาเปาไส้ถั่ว ลูกละ 1,000 วอน แม้แต่ขนมทอดชนิดหนึ่ง ที่ถึงจะอมน้ำมันนิดๆ แต่รสชาติก็อร่อยดีทีเดียว
ที่เหลือก็ได้ถ่ายภาพถนนที่มีทิวของต้นเมทาเซควาอา ที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มทุกต้นแล้ว ถนนเส้นนี้จะขนานกันไปกับถนนต้นเฟ้อร์ที่ยังคงเป็นสีเขียวอยู่ กับอีกเส้นหนึ่งเป็นถนนต้นแปะก๊วยที่ตอนนี้ใบสีเหลืองร่วงล้นเต็มพื้นดินไปหมดแล้ว แม้แต่ “ยอนคาซัง” รูปปั้นของสองพระนางจากซีรี่ส์เรื่องดัง Winter Sonata แต่ก็พบว่า ในสภาวะของวันเสาร์ที่คนเกาหลีมาเที่ยวกันมากมายเช่นนี้
การจะถ่ายออกมาให้ไม่มีผู้คนเลยเป็นสิ่งยากมาก ยากมากจริงๆ
จริงๆ แล้ว หากจะเดินให้ทั่วทั้งเกาะนามิ คงต้องใช้เวลาทั้งวัน แต่ด้วยเวลาที่ไม่มากพอ เราจึงได้แค่เดินในจุดที่คนส่วนใหญ่ได้มาเดิน ก่อนจะได้เวลาของการเดินทางกลับออกมา
12.00 น.
ได้เวลาอาหารมื้อแรกของเรา (แต่เป็นมื้อที่สองของคนอื่นๆ) กันแล้ว รถบัสพาเรามายังร้านๆ หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะนามิสักเท่าไหร่ วันนี้ เราได้รับคำเตือนกันมาแล้วว่า จะได้หัวเหม็นกันกลับไปทุกคน เพราะอาหารมื้อนี้จะเป็นสไตล์ทัคคาลบิ (Dak Galbi) เป็นกระทะร้อนที่ผัดทั้งผัก แป้ง เนื้อไก่ ข้าว และสาหร่าย ผสมเคล้าเข้ากับโคชูจัง น้ำพริกสไตล์เกาหลี มีผักสด มีซุปสาหร่าย และกิมจิไว้ทานร่วมด้วย อาหารมื้อนี้ดูจะไม่ถูกปากชาวเราสักเท่าไหร่
กระทะร้อนขนาดใหญ่ กินกันไปได้เพียงครึ่งเดียว
อ่านภาษาเกาหลีไม่ค่อยออกหรอกครับ รู้แค่ตัวสีแดงอ่าน Dak Galbi ที่เหลืออีกสามตัวน่าจะเป็นชื่อร้าน
15.00 น.
บ่ายสามกว่า กลุ่มของเราตอนนี้ได้ย้ายก้นมาที่อยู่หน้า ‘Everland’ สวนสนุกแห่งที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในเกาหลีใต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนได้รับบัตรเข้ากันคนละใบที่จะเล่นเครื่องเล่นได้ทุกอย่าง แต่เท่าที่ดูคนเยอะมากขนาดนี้ ก็คิดในใจเอาไว้ว่า จะได้เล่นสักกี่อย่างกันหนอ
ด้วยสถานที่อันกว้างใหญ่โอบล้อมไปด้วยป่าเขา ที่นี่จึงมีบริการรับส่งขึ้นลงสำหรับผู้ที่ไม่อยากเดิน มีทั้งกระเช้าลอยฟ้า และ Sky Way ซึ่งเราเลือกอย่างหลัง ที่นี่ก็เช่นกัน มีโปรชัวร์ภาษาแจกให้นักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย ซึ่งก็จะแจกแจงพร้อมแผนที่ไว้ให้ เหมาะกับการเดินถือกลางวัน ส่วนกลางคืนไม่แนะนำเพราะลองเอาออกมากางดูแล้ว มองไม่เห็นครับ มืดเกิน
เครื่องเล่นยอดฮิตของที่นี่ น่าจะเป็น T-Express รถไฟเหาะรางไม้ที่ชันราว 70 องศา แถวจะยาวมากจนคิดว่าไม่เล่นดีกว่า แอบหนีไปเดินโซนสวนสัตว์ก็เพลินๆ ดี ได้ลองแว้บเข้าไปดู Spacetour โรงหนัง 4 มิติที่ได้พบภายหลังว่าเขาฉาย Rio แอนิเมชั่นนกสีฟ้าในริโอเดอจาเนโร ก็แอบผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้ท่องอวกาศ
ขากลับ เราใช้วิธีเดินอ้อมไปทางโซนเมจิกแลนด์ เป็นการเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ผ่านม้าหมุนอันสวยงามเพราะยามเย็นเขาเริ่มเปิดไฟกันแล้ว พร้อมๆ กับอากาศก็เริ่มหนาวเย็นแล้วเช่นกัน ในที่สุด เราก็กลับมาถึงจุดนัดพบจนได้
ได้เวลาเดินทางออกจากสวนสนุกกันแล้วในตอนนี้ หิวกันถ้วนหน้าได้เวลาทานของอร่อยกันอีกครั้ง
19.00 น.
แต่ยังหรอกครับ ยังไม่ถึงเวลาที่จะมีอะไรลงท้อง พวกเราจะได้ทำความรู้จักกับอาหารประจำชาติที่คนเกาหลีกินกันทุกมื้ออย่าง “กิมจิ” คราวนี้พวกเราได้ทำเองกับมือ พร้อมทั้งถ่ายรูปกันในชุดฮันบกอีกด้วย
และแล้วก็ถึงมื้อที่เฝ้ารอ คืนนี้ได้ลองทาน “โอซัมบูลโกกิ” ซึ่งเป็นบูลโกกิอีกประเภทหนึ่ง มีทั้งเนื้อ ปลาหมึก ผักกาดขาว และเห็ดนางฟ้า เอร็ดอร่อยอิ่มหมีพีมันกันไป ในที่สุดก็ได้เวลาเดินทางกลับที่พัก
คืนนี้ เรายังพักกันที่เดิม Benekia Win Hotel แต่จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะพักในซูวอน คืนนี้ จึงต้องทั้งจัดเก็บกระเป๋า และอาบน้ำนอนเอาแรงเพื่อตื่นเช้าในพรุ่งนี้อีกครั้ง
ทัวร์ใบไหม้เปลี่ยนสี | [ เที่ยวเกาหลีวันแรก – อินชอน ] [ เที่ยวเกาหลี วันสอง – เกาะนามิ ] [ เที่ยวเกาหลี วันที่สาม – โซลทาวเวอร์ ฮงแด และเมียงดง ] [ เยือนเกาหลี วันสุดท้าย – บุกชอนฮันอก ]