นานมากแล้ว ที่ผมอ่านหนังสือวรรณกรรมเล่มหนาๆ จนจบเล่ม ปกติก็ไม่ค่อยซื้อวรรณกรรมอยู่แล้ว เพราะเป็นพวกอ่านช้า ประกอบกับไม่ค่อยจะหยิบมาอ่าน อ่านแล้วก็ไม่ค่อยจะยอมจบ ครั้งนี้เลยยืมเขาอ่าน ผลักดันให้อ่านไปเรื่อยๆ จนจบเล่มได้ ไม่น่าเชื่อ!
ชีวิตผมอยู่ได้ด้วยแรงบันดาลใจจริงๆ ครับ
นี่คือวรรณกรรมระดับเบสต์เซลเลอร์ จากนักเขียนหน้าใหม่เชื้อสายอัฟกัน ที่ลุกขึ้นมาเขียนเรื่องราวของบ้านเกิดตัวเอง … อัฟกานิสถาน
“เด็กเก็บว่าว – The Kite Runner”
คงเป็นการยาก ที่ใครสักคนจะประสบความสำเร็จจากวรรณกรรมขนาดยาวเล่มแรกในชีวิต แต่ ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ทำมันได้ แถมมันได้ถูกถ่ายทอดและดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แล้วด้วย
สุดยอดจริงๆ
“เด็กเก็บว่าว” ตั้งคำถามขึ้นในใจผู้อ่านมากมายหลายคำถาม เมื่อเด็กน้อยสองคนที่เติบโตขึ้นมาในรั้วบ้านเดียวกัน แต่แตกต่างอย่างชัดเจนในเชิงฐานะ อาเมียร์ เป็นชาวพาสทูน อยู่ในฐานะของลูกชายของเจ้านาย ขณะที่ฮัสซาน เป็นเพียงเด็กฮาซารา ลูกคนใช้ในบ้าน
ฮัสซานนั้นดูจะจงรักภักดีกับอาเมียร์อย่างมาก ด้วยประโยคที่ตอกย้ำอยู่ในหลายหน้า
“สำหรับคุณ กว่านี้อีกพันเท่าก็ยังไหว”
ขณะที่ในใจอาเมียร์นั้น เขาตอบตัวเองไม่ได้ว่า เขารู้สึกกับฮัสซานในลักษณะไหน แม้ว่า จะเป็นเพื่อนเล่นในหลายต่อหลายครั้ง จะมีภาพความทรงจำของความสนิทสนม แต่หลายครั้ง เขาก็อยากจะอยู่กับพ่อโดยไม่มีฮัสซาน เขาเข้าไปในบ้านหลังเล็กของครอบครัวคนใช้นั่นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นในชีวิต
พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ก่อนที่จะถึงจุดพลิกผัน วันที่พวกเขาเล่นแข่งว่าวด้วยกัน โดยมีฮัสซานเป็นมือล่าว่าวตัวฉกาจ วันนั้น คือวันที่เขาแสดงให้เห็นความขี้ขลาดของตัวอาเมียร์เอง เขาปล่อยให้ฮัสซานโดนทำร้ายสาหัสโดยที่ตนไม่ทำอะไรเลย
ก่อนที่ความรู้สึก ความอัดอั้น จะผลักให้ทำอะไรเลวๆ ซ้ำๆ ลงไป…
เมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกผิดนั้นยังคงตามหลอกหลอนไม่ขาด แต่..จะมีหนทางลบล้างบาปในใจนั้นได้หรือไม่ ถ้าได้ มันต้องทดแทนอย่างไร ถึงจะสาสมกัน
ผมเคยเห็นโปสเตอร์ของหนังเรื่องนี้มาก่อน ก็ภาพเดียวกับปกหนังสือที่คุณเห็นนี่แหละ ในใจก็นึกอยากจะหามาดูเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ถึงโอกาสนั้นสักที จวบจนได้พ็อกเกตบุ๊ํคเล่มหนาเล่มนี้มาอยู่ในมือ จึงเริ่มอ่านมันไปทีละน้อย วันละบทสองบท ในรถไฟฟ้าระหว่างไปทำงานบ้าง อ่านในห้องน้ำบ้าง อ่านบนเตียงก่อนนอนบ้าง หลังๆ เริ่มอ่านนานขึ้นเพราะวางมันลงไม่ได้
และในที่สุด มันก็จบเล่ม
นานแล้ว ที่ไม่ได้อ่านวรรณกรรมเล่มหนาๆ แบบนี้ รู้สึกอิ่มดีเหมือนกัน เหมือนคนที่อยากกินอาหารจานโปรดที่ไม่ได้กินมาแสนนาน 400 กว่าหน้า กับเรื่องราวที่ถูกร้อยเรียงมาอย่างดี อ่านเพลิน อ่านสนุก แม้ต้องวางลงด้วยหลากหลายสาเหตุ แต่ความกระหายใคร่อยากอ่านก็ยังอยู่
มันคือ วรรณกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวของอิสลามที่เราไม่เคยรู้จัก สุหนี่ ชีอะห์ ตาลีบัน นี่คือข้อมูลที่เราไม่ได้รู้จากในทีวี ชีวิตความเป็นอยู่ของคนอัฟกัน ความสัมพันธ์กับปากีสถานในฐานะบ้านใกล้เรือนเคียงสำหรับการอพยพพึ่งพิง แม้จะเป็นมุสลิมด้วยกัน ก็ใช่จะคิดอย่างเดียวกัน ความโหดร้ายของตาลีบันถูกตอกหมุดฝังตรึงอยู่ในวรรณกรรมเรื่องนี้ ความรักความผูกพันระหว่างเพื่อนที่แฝงความเคลือบแคลง ความรู้สึกผิดและการชดใช้ ไม่ว่าคุณจะเกิดในศาสนาใด บาปในใจเกิดขึ้นได้เสมอ แต่จะชดใช้มันเยี่ยงใดเพียงเท่านั้น นอกจากนี้ มันยังแฝงลึกไปเรื่องราวของวัฒนธรรมอาหารการกิน ที่เราไม่คุ้นชินกับชื่อแปลกหูต่างๆ ที่พบได้ทั่วไปในเล่ม ภาษาพูด คำบางคำอันมีความหมายเชิงความเชื่อและศรัทธา พวกเขาใช้บ่อยจนผู้แปลเลือกที่จะไม่แปล
การดำเนินเรื่องที่มีจุดสร้างความพลิกผัน ยิ่งสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้เกิดขึ้นในใจ
นี่ความแตกต่างที่หนังสือเล่มนี้มี และแตกต่างจากที่ผมเคยอ่านมา ยอมรับว่า ไม่ได้เป็นคนอ่านเยอะขนาดนั้น แต่ก็พอจะเรียกได้ว่า ชอบอ่าน..
อ่านแล้วก็นึกถึงคำถามนั้นในใจ
ถ้าเราเป็นอาเมียร์ เราจะทำอย่างเขาในเรื่องนั้นได้มั้ย?
ขอบคุณ คุณนั่นแหละ ไม่ใช่ใคร
น่าสนใจดีจัง อย่างนี้ต้องลองไปหาอ่านบ้างแล้ว :)
“ปล่อยให้ฮัสซานโดยทำร้าย”
โดนทำร้าย ใช่ไหมครับ :D
ขอบคุณที่แนะนำหนังสือดีๆครับ
ต้องไปหาหนังมาดูซะแล้นนนน
ถูกครับ DominixZ พิมพ์ผิดเล็กผิดน้อยประจำเลยเราเนี่ย
เหมือนจะมี DVD อยู่ใกล้ๆมือ แต่ยังไม่เคยได้ดูเลยสักที – -*
อ่านจบแบบสนุกมาก ร้องไห้อึ้งๆ ทึ่งในเนื้อเรื่อง
แต่ยังไม่ได้ดูหนังเลยค่ะ เขาว่าก็ดีเหมือนกัน
อืมเรื่องนี้ตอนแรกที่อ่านสุดยอดมากเพราะนั่งตรวจต้นฉบับ และได้คุยกับพี่ณัฐ (ลูกชาย คุณพนมเทียน) ยอมรับเลยว่าทำไมมันถึงได้ขายดีโดยไม่ต้องโปรโมท สุดยอด