เก็บตก งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 12

งานหนังสือทีไรนี่ได้เวลาร่ำลาเงินในกระเป๋าทุกทีเลยสิครับ ครั้งนี้ ตั้งใจว่าจะซื้อน้อยที่สุด เพราะว่า ครั้งก่อนๆ ซื้อมาแล้วไม่ค่อยจะมีเวลาอ่าน ทำให้ตอนนี้ ยังไม่อ่านไม่จบอีกหลายเล่ม บางเล่ม อ่านแล้วก็ไม่ชอบ (ซะงั้น) ทำให้เรารู้ว่า หนังสือไทย หาเล่มที่เขียนดีเขียนน่าสนใจนั้นยากพอดู แม้แต่นักเขียนที่ใครๆ ชื่นชมว่าเก่ง ก็อาจเขียนไม่ถูกใจเราได้ ผมก็เลยได้คิดว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อให้มากมาย ไม่จำเป็นต้องไปซื้อตามที่คนอื่นเขาแนะนำว่าดี …

ซื้อเฉพาะที่เราอยากได้อยากอ่านก็พอ

ครั้งนี้ ผมก็เลยไปงาน มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 12 โดยไม่มีรายชื่อหนังสือในหัว(อีกตามเคย) อาจจะนึกๆ ไว้สักเล่มสองเล่ม อย่างน้อยพอให้มีจุดหมายในการค้นหาบ้าง หลังจากเสร็จภารกิจ ผมก็เดินทางไปถึงงานทันทีในวันเสาร์ที่ผ่านมาครับ

เข้าไปถึงงานก็พบกับดาราเลยแหละครับ เสียดายที่ผมจำชื่อไม่ได้ แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจอะไรสำหรับผม

ผมไปถึงงานช่วงประมาณบ่ายสอง ไปถึงก็มองหาโบรชัวร์ก่อนเลย เผื่อว่าจะช่วยให้ผมหาบูธต่างๆ ได้มากขึ้น ด้วยความไม่ชอบใช้ปาก เลยเดินๆ ดูรอบบูธ Information พบว่า ไม่มีโบรชัวร์เลยแฮะ มีแต่ของบูธต่างๆ ที่วางแหมะรอให้หยิบเท่านั้น เลยกะว่าจะเดินดุ่มๆ โดยไม่มีโบรชัวร์นี่แหละ มันดี

คนเยอะเช่นเคยครับสำหรับงานแบบนี้ หนังสือหนังหาต่างๆ ที่ขนเอามาลดราคากัน นั่นคือเหตุที่ทำให้คนเยอะขนาดนี้ แต่ถ้าไปดูตามร้านหนังสือก็จะพบว่า หนอนหนังสือจริงๆ มีไม่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่มาซื้อนิตยสารกับการ์ตูนกันซะมากกว่า

การลดราคาของหนังสือในงานมหกรรมฯ โดยความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่า มีผลมากพอสมควรที่จูงให้คนมาเที่ยวงานกันเยอะเยี่ยงนี้ หลายคนถือถุงย่าม-เป้มาเพื่อแบกหนังสือกลับบ้านโดยเฉพาะ ไม่แปลกที่คนจะเยอะเป็นหนอน เดินในงานต้องเบียดเสียดยัดเยียด และต้องประคองศูนย์ถ่วงตัวเองให้ดี

จริงๆ ผมไม่ค่อยจะใส่ใจกับราคาที่ลดมากนัก ถ้าดีจริงผมก็ซื้อ แต่สมองผมจะพยายามบาลานซ์ระหว่างราคาที่ลดแล้ว กับคุณค่าของหนังสือ ซะมากกว่า ถ้ามันสมดุลกันดี ก็แสดงว่า สมควรซื้อ

จากประสบการณ์ ผมวิ่งเข้าเพลนารี่ฮอลล์ก่อนเลยครับ เดินดูไปเรื่อยๆ ยังไม่ซื้อ ผ่านบูธ วินทร์ เลียววาริณ ครั้งนี้ ผมไม่ซื้อหนังสือเล่มไหนทั้งสิ้น แม้จะมีสาวๆ เพียบบูธก็ตาม งานเขาเจ๋งครับ แต่บางเล่มชอบ บางเล่มก็ไม่ชอบ เลยขอผ่าน

ไม่อยากเป็นเหมือนบางปี ซื้อมาเต็มมือจากหลากหลายบูธ ชอบอยู่แค่ไม่กี่เล่ม -_-”

ผ่านมาถึงบูธอะเดย์ บูธนี้ก็ยังไม่ซื้อ 2 บูธข้างต้น เคยเป็นลูกค้า แต่ก็พบว่า มันยังไม่โดน ปีนี้กะซื้อน้อยอยู่แล้ว เลยเดินผ่านไป ผ่านไปถึงหลายๆ บูธ บางเล่มสนใจอยู่ แต่ก็คิดว่า อีกหลายบูธก็น่าจะหนังสือเรื่องเดียวกัน ถ้าไม่เจอถูกใจกว่านี้ก็จะกลับมา

เดินออกมาจากข้างในฮอลล์นึง ก็ผลุบเข้าไปอีกฮอลล์นึงอย่างรวดเร็ว วันนี้เวลามีน้อย เพราะมีคิวไปดูหนังอีกตอน 4 โมง)

งานนี้ มีคุณธนา ไปแจกลายเซ็นด้วย เขาเป็นเจ้าของหนังสือ Happy คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน ไงครับ แต่อย่างว่า ผมอ่านมาแล้วจากการยืมเพื่อน ก็เลยไม่คิดจะซื้ออีก เพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้อ่านซ้ำหรอก (ซะงั้น)

มาถึงบูธมติชน บูธนี้ใหญ่มากๆ อีกตามเคย มีหนังสือออกใหม่ดีๆ อยู่หลายเล่ม เลือกอยู่สักพักก็ได้มาสองเล่ม พอหอมปากหอมคอ

จ่ายไป 300 เศษๆ

ผลุบออกมาอีกครั้ง เดินตะลุยไปจนถึงบูธซีเอ็ด หวังจะหยิบ WordPress กระแทกใจบล็อกเกอร์วัยจ๊าบ ของเดย์ ปรากฏว่า หาอยู่พักหนึ่ง ไม่เจอสักเล่ม (เพิ่งมารู้ทีหลังเมื่อได้กลับไปอ่านบล็อกของเดย์อีกครั้ง ว้า แย่จัง)

เดินดุ่ยๆ ไปเรื่อยๆ หาตำแหน่งไม่ยากเลยสำหรับบูธนายอินทร์ เพราะอยู่ที่เดิมไม่เคยเปลี่ยน บูธนี้ ผมเดินรอบบูธ ไม่เจออะไรสะดุดตา เลยผ่านไปโดยไม่มีติดมือกลับออกมา

งวดนี้ ไม่ซื้อนิยายครับ ด้วยความคิดเห็นส่วนตัวว่า ให้ความบันเทิงกับผมชั่วเวลาที่อ่าน แต่จบแล้วก็จบเลย ไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตมากนัก แล้วก็ไม่ชวนให้ต้องกลับมาเปิดอ่านอีกครั้ง ไม่นานมันก็อาจต้องกลายเป็นหนังสือมือสองไป เลยไม่ซื้อ ย้ำว่านี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว

เอาละ จะบ่ายสามครึ่งแล้ว ได้เวลาต้องกลับแล้ว ตัดสินใจครั้งสุดท้ายเดินกลับไปยังบูธ IDC เพื่อเก็บหนังสือเล่มสุดท้ายกลับบ้าน

บ่ายสามครึ่งพอดี ได้เวลาเดินทางกลับ พร้อมนัดแนะกับหมูน้อยให้ออกมาถึงโรงหนังทันเวลาฉาย ภาพนี้ เหมือนกับแอบถ่ายเลยแนะ ถ่ายระหว่างเดินลงสถานีรถไฟฟ้าศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นั่นแหละ

สรุปแล้ว ไปงานหนังสือครั้งนี้ จ่ายไปเพียง 400 กว่าบาทเท่านั้น ได้หนังสือมา 3 เล่ม เลยคิดว่า

ใช้เวลาเดินน้อยๆ ก็ดีเหมือนกัน เมื่อยขาน้อยลง ไม่มีเวลานั่งพักเหมือนทุกครั้ง แต่ก็ได้จ่ายน้อยลง จะได้อ่านให้จบและประทับใจในอัตราที่สูงขึ้นด้วย

————————-

หลังจากนั้น ผมก็มาถึงสยามสแควร์ เพื่อมาดู Shindo ที่โรงลิโด้ 3 ครับ

Exit mobile version