ยอมรับมาหลายสิบปีแล้วว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่รถติดมากถึงมากที่สุด แม้ว่าจะไม่เคยไปผจญการจราจรมาแล้วทุกเมืองในโลกก็ตาม นอกเหนือจากปัญหาของการจัดผังเมือง ปัญหาเรื่องการจัดการต่างๆ ปัญหาน้ำท่วมขังง่าย และอีกหลายอย่างที่ทำให้การเคลื่อนตัวของรถราในเมืองกรุงไม่ไหลลื่นแล้ว พฤติกรรมการขับขี่ของคนกรุงนี่แหละก็เป็นหนึ่งในสาเหตุใหญ
ต้องยอมรับว่า การขับขี่บนท้องถนนแห่งดินแดนฟ้าอมรนั้น นอกจากพบเจอกับถนนที่ขรุขระในบางจุด ฝุ่นควันที่ปล่อยออกมาจากรถราที่ใช้เชื้อเพลิงจากโลกล้านปี อากาศที่ร้อนจัดพาผู้คนใจร้อนหนักข้อ ผจญกับรถใหญ่ซ้ายขวาที่ทำให้เหมือนติดอยู่ในช่องทางแคบๆ พฤติกรรมการขับขี่ของผู้คนในเมืองนี้ก็ชักชวนให้รถยิ่งติดให้มากขึ้นได้เหมือนกัน
หยิบจากประสบการณ์ส่วนตัวมายกตัวอย่างก็ได้ประมาณๆ นี้
คิดจะเปลี่ยนเลน แต่ไม่เปิดไฟเลี้ยว
ก่อนเปลี่ยนเลนก็ควรต้องแจ้งให้รถคันอื่นทราบ เพื่อที่รถคันอื่นจะได้เตรียมตัวตามแต่สถานการณ์ของตน แต่เห็นหลายคันมากเลยที่เปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ทำให้ผู้ขับและผู้ขับขี่ต้องหูไวตาไวกันเป็นพิเศษมิฉะนั้นจะไปจิ้มกันเข้า ทั้งที่รถทุกรุ่นก็มีไฟเลี้ยวมาให้เหมือนกันหมดแล้วแท้ๆ แต่หลายคนก็ทำตัวเหมือนกับไม่เคยผ่านการสอบใบขับขี่มา
ไม่อยากจะพุ่งเป้าไปที่แท็กซี่โดยสารเลยแม้แต่น้อย แต่พวกคุณผู้เชี่ยวชาญการขับรถที่บางส่วนขับได้ย่ำแย่มาก
เห็นช่องว่างเป็นไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเลน
ด้วยความที่ปริมาณรถค่อนข้างหนาแน่นในทุกท้องที่ ไม่ว่าคันเล็กคันใหญ่เจอช่องว่างช่องเล็กช่องน้อยไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเลนเข้าไปแทรกด้วยความคิดที่ว่า ขอให้ได้คืบไปได้อีกนิดก็ยังดี แต่จะรู้ไหมว่า การเปลี่ยนเลนบ่อยๆ ทำให้รถยิ่งติดมากขึ้น รถคันหลังต้องเบรกให้รถคันที่เปลี่ยนเลน บางครั้งรถติดหนัก รถที่เปลี่ยนเลนก็ติดคาอยู่ระหว่างสองเลนเช่นนั้น
ถ้าคิดว่าจะเปลี่ยนเลนเพราะเดี๋ยวแยกหน้าจะต้องเลี้ยวแล้ว อันนี้ก็เข้าใจได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเพราะมันมีช่อง ขอเพียงให้ได้ขยับไปใกล้ที่หมายกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยก็เอา ทั้งๆ ที่ทุกเลนต่างมีรถเยอะเหมือนๆ กัน นั่นคงไม่ช่วยอะไร นอกจากการจราจรที่ติดหนักและนานกว่าเดิม
ถ้าทุกคนต่างตรงไปในเลนเดิม น่าจะช่วยให้เลื่อนไหลกว่าด้วยซ้ำ
มอเตอร์ไซค์ ขับขี่ได้อย่างไร้กฎ
บนถนนในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร มองเห็นแต่รถจักรยานยนต์ที่ทำผิดกฎจราจรเป็นว่าเล่น วิ่งข้ามแยกทั้งที่ยังเป็นไฟแดง เจอถนนเลนแคบจึงวิ่งแซงในเลนรถฝั่งที่สวนมา วิ่งย้อนศรไม่สนใจความปลอดภัย หลายครั้งที่เป็นคนนั่งซ้อนยังแอบเสียว
ขอเปลี่ยนเลนตรงแยก
ถ้าเราจะสังเกตกัน ตรงบริเวณสามแยกสี่แยกห้าแยกทั้งหลาย จะเป็นเส้นทึบซึ่งแปลว่าห้ามเปลี่ยนเลนบริเวณนั้น การขอเปลี่ยนเลนเพราะเพิ่งนึกได้ว่าต้องไปอีกทาง จะทำให้รถในเลนข้างต้องหยุดให้ อันจะทำให้ปริมาณรถที่ข้ามแยกไปมีน้อยลงกว่าที่ควร
เพิ่มปริมาณรถสะสมด้วยเหตุเพราะความเห็นแก่ตัว
ขับชิดขอบเลนหวังเปลี่ยนเลน
นอกจากหลายคนมักจะเปลี่ยนเลนโดยไม่ใช้ไฟเลี้ยวแล้ว คนขับรถในกรุงเทพฯ บางคนก็ยังมีนิสัยขอบขับรถชิดเลนด้านใดด้านหนึ่ง อาจเพราะหวังจะเปลี่ยนเลนและหวังให้รถคันใกล้เคียงชะลอความเร็วให้ หรืออาจเพราะหวังจะมองเห็นรถข้างหน้า หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันส่งผลต่อความเครียดของคนขับรถคันอื่น เพราะเลนมันก็ออกจะกว้างแต่คันข้างกลับขับชิดคันเรา
สร้างความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุโดยไม่รู้ตัว
ออกจากซอย/กลับรถตีวงกว้าง ยูเทิร์นแถวสอง
หลายครั้งที่พบเห็นการขับรถออกมาจากซอย รถบางคันตีวงกว้างจนกินเข้ามาเลนที่สอง และหลายคันก็มักจะตีวงเลี้ยวเข้าเลนอื่นที่ไม่ใช่เลนซ้ายสุด ส่งผลให้คันที่อยู่ในเลนต้องชะลอความเร็วลง การจราจรโดยรวมจึงช้ากว่าเดิม
หลายจุดในกรุงเทพฯ จะมีจุดกลับรถที่มิใช่ใต้สะพาน เป็นยูเทิร์นที่วงเลี้ยวต้องแคบมากจริงๆ จึงจะไม่ไปเบียดเบียนรถเลนอื่นได้ แต่ก็ยังเห็นคนขับรถหลายคนที่ไม่ได้อยู่ชิดเลนขวาสุด (หรือเลนสำหรับเลี้ยว/ยูเทิร์น) ที่ร่วมขบวนยูเทิร์นไปด้วย ทำให้กลายเป็นการยูเทิร์นสองวง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น
ทั้งเป็นเหตุให้การจราจรโดยรวมแย่ลงด้วย
แทรกเข้าเลนเลี้ยวทั้งที่ต้องการตรงไป
ก็พอเข้าใจแหละครับ ว่ารถบนถนนเมืองกรุงนั้นเยอะมาก แม้แต่เลนเลี้ยวก็ยังมีรถจับจองเพื่อรอไฟเขียวมาจะได้ข้ามแยกไป จนทำให้หลายคันต้องการจะเลี้ยว แต่ไปต่อไม่ได้ ต้องรออยู่หลังรถบางคันก่อนจะได้เลี้ยวไปตามต้องการ
จริงๆ ก็คงยังมีอีกหลากหลายพฤติกรรมของการขับรถของคนกรุงเทพฯ ที่ส่งเสริมให้การจราจรยิ่งติดขัดมากยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากปัจจัยที่คนใช้รถกันมาก ขนส่งมวลชนยังไม่ทั่วถึงพอ ผังเมืองที่ไม่รองรับจนหมักหมมมาเนิ่นนาน และอีกหลายสิ่ง
แต่เราปรับเปลี่ยนกันบ้าง เห็นแก่ตัวกันให้น้อยลง เคารพกฎจราจรกันให้มากขึ้น การขับรถในกรุงเทพฯ ก็คงจะติดน้อยลงไปจากที่เห็นอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย…