หลังจากหายไปพักหนึ่งกับบล็อกที่ถูกมรสุม mySQL พัดกระหน่ำ วันนี้ ผมกลับมาแล้วครับ กลับมาเล่าเรื่องหนังที่ไปดูมาล่าสุด ‘Wall-E’ หลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบดูแอนิเมชัน ด้วยเหตุผลว่า ไม่ชอบดูการ์ตูน? นี่มันไม่ใช่แค่การ์ตูนนะ มันสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ และทีมงานแอนิเมเตอร์หลายร้อยชีวิตทีเดียวนะเธอ
เมื่อหุ่นกระป๋องตัวหนึ่งที่เหลือรอดเป็นตัวสุดท้ายบน “ดาวโลก” ที่มลพิษเติบโตจนมนุษย์อยู่ไม่ได้ สร้างยานยักษ์เอาไว้ไปท่องอวกาศ “ไปเรื่อยๆ” และทิ้งหุ่นพวกนี้ให้คอยกำจัดขยะให้ แต่เมื่อเหลืออยู่ตัวเดียว และยังคงขยันขันแข็งทำงานอยู่ ก็ชักเริ่มสะสมข้อมูลทางอารมณ์และความรู้สึกแบบมนุษย์มากขึ้นทุกที ในที่สุด ชีวิตของมันก็ต้องเปลี่ยนไป
เมื่อมียานลำหนึ่งลงจอด และมีหุ่นยนต์สีขาวตัวหนึ่ง ที่ถูกส่งลงมาสอดแนมหาบางสิ่งบางอย่างบนโลก ความสัมพันธ์แบบหุ่นกับหุ่นกำลังจะเกิดขึ้น และภารกิจของตัวนี้ คืออะไร เป็นเรื่องที่คุณต้องไปสีบหากันเอาเองในโรง
รีวิวหนังแอนิเมชัน ‘วอลล์ – อี หุ่นจิ๋วหัวใจเกินร้อย’
ถ้าถามว่า ความรู้สึกของผมเป็นอย่างไรกับแอนิเมชันเรื่องนี้ คงต้องบอกว่า ชอบมากๆ ครับ Andrew Stanton ผู้เคยฝากผลงานไว้กับ ‘Finding Nemo’ และ ‘A Bug’s Life’ กลับมาอีกครั้งในบทบาทผู้กำกับแอนิเมชัน แล้วก็ทำได้ดีเสียด้วย เมื่อหยิบเอาเรื่องราวของหุ่นที่ผู้คนเข้าถึงความรู้สึกของเขาได้ยากกว่ามา เล่าเรื่อง หยิบเอาเรื่องพื้นฐานของมนุษย์มาใส่ลงในชีวิตของหุ่นตัวน้อย แล้วก็เช่นเคยที่หนังของ Pixar นั้น ความพยายามหยิบไอเดียต่างๆ ลงไปใส่ในแอนิเมชัน เห็นได้ชัดเจนจากช่วงชีวิตบนยานอวกาศยักษ์ลำนั้น?
หลังจากค่อนข้าง “ไม่โดน” ไปพอสมควร สำหรับความรู้สึกส่วนตัวของผมกับภาพยนตร์แอนิเมชันของ Pixar เรื่องก่อนอย่าง ‘Ratatouille’ มาเรื่องนี้ ผมยังหวังว่า จะมีความรู้สึกดีๆ กลับออกมาจากโรง ก็พบว่า ไม่ผิดหวัง
ความเนียนในด้านงานภาพ texture และการเคลื่อนไหว นั้นคงไม่ต้องสงสัย เพราะค่ายนี้ทำออกมาได้เนียนอยู่ทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่เนื้อหาและกลวิธีในการดำเนินเรื่อง ยังคงเป็นอะไรที่ต้องยอมรับอยู่ อย่างเรื่องนี้ ‘Wall-E’ หยิบเรื่องราวของสิ่งแวดล้อมมาพูดถึงอย่างโจ่งแจ้ง ตีแสกหน้าคนดูกันไปเลยอย่างไม่ต้องเกรงใจ ด้วยการใส่ความ “ห่วย” ของมนุษย์ลงไปในเรื่อง มนุษย์ที่ทำได้แค่สร้างมลพิษให้กับโลก ก่อนจะรู้ตัวว่า อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง หนีไปพร้อมกับยานอวกาศลำยักษ์ หนีไปเรื่อยๆ และหลงเพลินอยู่กับความสุขของสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างบนยาน และทิ้งหุ่นยนต์ตัวน้อยให้ทำงานเพื่อตนตามยถากรรม?
มนุษย์ช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ
สุดท้าย ก็กลายเป็นว่า ต้องไปพึ่งพาหุ่นยนต์ที่กำลังจะกอบกู้โลกอีกครั้ง
ผมว่า มันช่างเข้ากับสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันเสียจริงๆ มนุษย์เอาแต่กอบโกยจากธรรมชาติ เพื่อก่อประโยชน์สุขส่วนตัว ก่อนจะรู้ว่าสิ่งที่ทำกำลังจะกลับย้อนมาทำร้ายตัวเอง
แล้วก็ทำได้เพียงแค่ “หนี”
ความรักของหุ่นสองตัวที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่คนเขียนก็สิ่งให้มันเกิดไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาใส่ลงไป มีทั้งพล็อตดราม่า โรแมนติก และคอมมิดี้ ทำให้ผู้ชมได้หัวเราะและยิ้มไปกับเรื่องราวของพวกมัน คือ เสน่ห์ของแอนิเมชันแบบ Pixar
ไม่ถึงกับซับซ้อนยากต่อการเข้าใจแบบอะนิเมะของญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ไร้สาระเกินไป หรือมีปมเล็กปมน้อยเพียงปมเดียว เพียงหวังจะเข้าถึงแต่ผู้ชมที่เป็นเด็กๆ
หุ่นยนต์มันจะรักกันจริงๆ ได้หรือไม่ ผมคงไม่สนใจ ผมหวังแค่เพียงว่า คนที่ดูแอนิเมชันเรื่องนี้ จะหยิบความรู้สึกที่คนทำอยากจะสื่อเก็บไปคิด และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้บ้าง
เผื่อมันจะช่วยเปลี่ยนโลกได้ด้วย โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ต้องพึ่งหุ่นก็ได้
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Wall-E / วอลล์ – อี หุ่นจิ๋วหัวใจเกินร้อย |
กำกับ | Andrew Stanton |
เขียนบท | Andrew Stanton, Pete Docter, Jim Reardon |
แสดงนำ | Ben Burtt, Elissa Knight, Jeff Garlin |
แนว/ประเภท | แอนิเมชัน, ครอบครัว, ผจญภัย, ไซไฟ |
เรท | G |
ความยาว | 98 นาที |
ปี | 2008 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | August 12, 2008 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | FortyFour Studios, Pixar Animation Studios, Walt Disney Pictures |
ไปดูมาแล้วเหมือนกันค่ะ การ์ตูนเค้าทำมาดีมากเลย ชอบคาแร็กเตอร์ของอีฟและ wall-E ค่ะ
ยังไม่ได้ไปดูเลยอะ แต่เห็นเพื่อนบอกว่าน่ารักมากๆเลย เดี่ยวต้องไปดูบ้างแล้วอะ
เรื่องนี้ผมชอบประเด็นที่ว่า เมื่อมีอะไรอำนวยความสะดวกขึ้นเรื่อยๆ คนเราก็ขี้เกียจจนอ้วนพุงพลุ้ย ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้
โดยรวมแล้วก็ถือว่าทำดีครัย
ปล. ผมก็ชอบ Ratatouille ด้วยนะ