อีกค่ำคืนหนึ่งที่แสนเย็บยะเยียบแม้นั่นคือค่ำคืนหน้าร้อนก็กำลังจะผ่านพ้นไป ร่างกายที่ถูกใช้อย่างสมบุกสมบันไปกับการเดินผสมวิ่งขึ้นรถไฟ เดินไปหาของกิน หรือเดินเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่ตื่นนอนยันดึกก่อนจะมาจบลงบนเตียงนุ่นของที่พักขนาดย่อมแต่เปี่ยมด้วยคุณภาพการจัดพื้นที่ใช้สอย ทำให้การนอนในญี่ปุ่นถือเป็นการนอนที่คุ้มค่ามากๆ หัวถึงหมอนปุ๊บ ก็สามารที่จะหลับปั๊บได้ทันทีเลย
นี่อาจจะเป็นข้อเขียนที่เลยจากวันไปเที่ยวจริงๆ หลายวันอยู่ แต่ด้วยรูปภาพที่ถ่ายเก็บเอาไว้ก็น่าจะเอามาช่วยให้เรียบเรียงบอกเล่าถึงวันที่นายแพทไปเที่ยวได้อยู่บ้าง นี่ก็คือวันที่สามสำหรับการเที่ยวญี่ปุ่นหนแรกในชีวิตแล้วนะ ผ่านครึ่งทางมาอย่างไว จนรู้สึกว่าอีกไม่นานก็ต้องกลับไทยแล้วสิ เวลาแห่งความสุขมันช่างผ่านไปไวเหลือเกิน ตื่นเช้ามาอีกวันแล้ว และก็ทำเหมือนเดิมเลย โผล่หน้ามาก็เห็น หอคอยซึเทนคาคุ (หอคอยทสึเทงคาคุ/Tsutenkaku Tower) ที่ตั้งตระหง่านรอรับเราอยู่
เป็นหอคอยที่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ขึ้นไปชมสักที ให้ตายสิ!
อาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2559
เช้าที่นี่ตะวันขึ้นเร็วกว่าเมืองไทยหรืออย่างไรมิทราบ 6-7 โมงก็สว่างโร่จนไม่อาจจะนอนต่อได้อีกต่อไปแล้ว จำต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำแปรงฟันแต่งตัวแล้วออกไปทานมื้อเช้าที่เดิม ‘Kitchen Origin’ เปลี่ยนแนวมากินข้าวปั้นอีกรส กับอาหารที่ทำไว้ให้เรียบร้อยที่เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ก็เลือกที่เห็นว่าน่าสนใจ แล้วให้เขาชั่งและคิดเงินเรา หลังจากนั้นก็เดินไปกินที่โต๊ะ เป็นมื้อเช้าที่เงียบสงบมาก พนักงานเรียบร้อยสุภาพ เต็มใจให้บริการเราสุดๆ
แถมอาหารแต่ละเมนูที่เลือกมาก็อร่อยทั้งหมดด้วย เหมาะกับการเป็นร้านประจำยามเช้าของพวกเราจริงๆ ครับ
เอาละ หลังจากอิ่มมื้อเช้าก็ได้เวลาเดินทางกัน วันนี้ เหมือนเราจะยังคงเดินทางตามเขาไปเช่นเคย ได้ยินวันนี้ จะไปดูและช้อปของในตลาดมือสองซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าที่ไหน รู้เพียงว่าที่ญี่ปุ่นจะมีตลาดคล้ายๆ ตลาดนัด มีชาวบ้านเอาของมาขายในราคาถูกมาก ซึ่งก็มีอยู่หลายที่เช่นกันแล้วแต่ว่าเราจะเลือกไปกันที่ไหน ขาช้อปจะมองว่านี่แหละ “จุดหมายสำคัญ”
แน่นอน วันนี้ เรายังคงเลือกใช้บริการของรถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line เช่นเคย
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน Midosuji Line (M) โดยเราจะนั่งจากสถานี Dobutsuen-mae (M22) ไปลงที่สถานี Shin-Osaka (M13) แล้วนั่งต่อไปอีกราว 3 สถานี
ค่าใช้จ่าย: 400 เยน
นี่แหละหน้าตาของบัตรโดยสารรถไฟใต้ดิน ระบุวันที่ เวลาที่ซื้อตั๋ว และราคาค่าตั๋วที่ซื้อ นอกจากนั้นเป็นภาษาญี่ปุ่น อยากอ่านออกก็คงต้องใช้แอป Google Translate ช่วยเอาละ ซื้อตั๋วจากตู้แล้วก็ถือตั๋วไปสอดตรงประตูทางเข้า เครื่องมันจะเจาะรู้ให้โดยอัตโนมัติ ถ้าเดินทางไปไกลที่ระบุในตั๋วก็จะต้องไปจ่ายเพิ่ม (Adjust) ที่สถานีปลายทางของเราอีกทีครับ
เป็นการเดินทางที่งงๆ นิดหน่อยเพราะเราไม่รู้จุดหมายว่าจะไปไหน สุดท้ายมีโผล่ที่ห้างขนาดใหญ่ห้างหนึ่ง รู้สึกว่าจะชื่อ ‘Senchi Pal’ เดินดูกระเป๋า/รองเท้าอะไรนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร ก่อนจะคุยกันว่า ท่าทางจะต้องแยกย้ายกันไปเที่ยว เพราะถ้าเลือกที่จะตามเขาไป เราอาจจะได้แค่ช้อปปิ้ง(ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักสำหรับการมาเยือนญี่ปุ่นครั้งแรกแน่นอน) แต่เราจะพลาดหลายที่ไปอย่างน่าเสียดาย
ในที่สุด เราก็แบ่งกลุ่มกัน ครึ่งของเราเลือกที่จะไปเที่ยว “ปราสาทโอซาก้า”
แน่นอนว่า คราวนี้ คงได้เวลามือใหม่ที่จะเที่ยวกันเองด้วยฝีมือพวกเรากันเองบ้างแล้ว หลังจากพึ่งพาผู้มีประสบการณ์การท่องเที่ยวในญี่ปุ่นมาสองวันเต็ม เครื่องมืออะไรที่มีก็ต้องหยิบขึ้นมาใช้ ใครจำทางเข้าออกอะไรได้ก็ต้องช่วยกันแหละคราวนี้
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน Midosuji Line (M) โดยเราจะนั่งจากสถานี Senri-chuo (M08) ไปลงที่สถานี Hommachi (M18) แล้วนั่งต่อสายสีเขียว Chuo Line (C) ไปลงสถานี Tanimachi-Yonchome (C18)
ค่าใช้จ่าย: N/A
ที่เราเลือกสถานีนี้เพราะน่าจะเดินไปยังปราสาทได้สะดวกและใกล้ที่สุด จริงๆ แล้วมันมีหลายสถานีที่กระจายอยู่รายรอบปราสาทจะมาลงสถานีไหนก็แล้วแต่คุณเลย
โผล่ขึ้นมาก็พบกับอาคารที่ทำการของ NHK เดินลัดเลาะไปโดยให้อาคารนี้อยู่ทางซ้ายมือของเราตลอด จนมาถึงทางแยกก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แล้วก็ข้ามอีกทีที่ถนน Hommachi dori จะเห็นปราสาทโอซาก้าตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล มั่นใจได้ว่าเรามาถูกที่ไม่มีหลง
เราจะเห็นสระขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบตัวปราสาทอยู่เป็นอันดับแรก เดินไปเรื่อยๆ จะถึงทางเข้า ที่จะมีรถขายไอศกรีมรอเราอยู่แล้ว ด้วยความหิวก็จัดกันคนละโคน คนละ 300 เยน กินเสร็จก็เดินเข้าไปข้างในกัน
ทางเดินจะค่อนข้างวนเป็นชั้นๆ ตามแผนผังการสร้างปราสาทที่แสนลึกล้ำของคนในสมัยนั้น เดินกันไปจนใกล้ตัวปราสาท บริเวณนี้ก็จะมีแต่ผู้คนยืนถ่ายรูปกับปราสาทกันเต็มไปหมด
หลังจากถ่ายรูปกันจนอิ่มแล้วก็ได้เวลาขึ้นข้างบน ที่นี่มีลิฟต์ไว้ให้บริการ (แต่ก็สามารถเดินขึ้นไปได้) โดยลิฟต์จะส่งขึ้นไปถึงชั้น 5 ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าจะเดินขึ้นไปอีก หรือจะเดินลงมา ค่าเข้าอยู่ที่ 600 เยน
การขึ้นลิฟต์จำเป็นต้องรอคิวค่อนข้างนานหน่อย แต่ละชั้นก็จะมีนิทรรศการที่รวบรวมประวัติของยุคต่างๆ ที่ปราสาทแห่งนี้ผ่านพ้นกาลเวลามา ทุกชั้นสามารถถ่ายภาพได้หมด ยกเว้นเพียงชั้น 3-4 ที่ห้ามถ่ายภาพ
เราขึ้นกันไปถึงชั้นบนสุดที่จะสามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบๆ เมืองโอซาก้าได้ทั้ง 360 องศา โดยจะมีแผ่นป้ายบอกไว้ให้ด้วยว่าตึกไหนชื่ออะไร มองไปข้างล่างเห็นอาณาบริเวณที่กลายเป็นสวน ซึ่งถ้ามาช่วงซากุระบาน มันก็จะเป็นภาพที่สวยงามมากครับ
แล้วก็ได้เวลาเดินลง บันไดที่นี่ออกแบบให้แยกขึ้นกับลงไม่ให้ปะปนกัน เป็นวิธีคิดที่เข้าทีทีเดียว
เริ่มหิวมากขึ้นทุกทีจึงมานั่งพักที่อีกด้านของปราสาท สั่งราเมงมากินซึ่งก็ค่อนข้างแตกต่างจากรูปภาพเล็กน้อย รสชาติถือว่าเฉยๆ แต่ก็ช่วยให้หายหิวไปได้พอสมควร
เดินมาถึงอาคารพิพิธภัณฑ์ พบเจอกับร้านทาโกะยากิที่กำลังจะปิดร้าน ด้วยความอยากลองเลยได้เป็นลูกค้ากลุ่มสุดท้าย ของเขาจะมีความนุ่มเละและมีรสชาติออกหวาน จะแตกต่างกับที่คนไทยกินกันอยู่พอสมควร แต่ถ้ามองว่านี่เป็นของพื้นเมืองญี่ปุ่น ก็ถือว่ารสชาติอร่อยทีเดียว
เขาขาย draft beer ราคา 500 เยนด้วยแต่เราไม่สนครับ
ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้วสินะ กลับมาทางเดิมผ่านอาคาร NHK เช่นเคย
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน Chuo Line (C) โดยเราจะนั่งจากสถานี Tanimacho Yonchome (C18) ไปลงที่สถานีไหนหว่า (ลืมไปแล้ว)
ค่าใช้จ่าย: N/A เยน
ได้เวลาช้อปปิ้งสินะ เหน็ดเหนื่อยเช่นเคยกับการเข้าร้านโน้นทีออกร้านนี้ที จนบางที รู้สึกไม่ไหวแล้ว เมื่อยจังเลย ก็เลยนั่งมันอยู่หน้าร้าน GU นั่นแหละ รอจนกว่าอีกทีมจะมาสมทบแล้วจึงไปหาอะไรทานกัน
เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ ในที่สุด ก็มาจอกับร้านปิ้งย่าง (เพราะมีสมาชิกในกลุ่มอยากกินปิ้งย่าง) เขาบอกว่ามันเป็น Yakiniku สไตล์ญี่ปุ่นๆ ชื่อร้าน Yakiniku Rokko นะ ถ้าจำไม่ผิด (จริงๆ ก็คือ ถ้ารูปที่ถ่ายมันใช่ร้านที่เดินเข้าไปกินอะนะ)
เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง เท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่ากินกันไม่มากเท่าไหร่ เน้นเบียร์เสียมากกว่า ในที่สุดก็อิ่มแปล้กันทุกคน ได้เวลากลับบ้าน รถไฟใต้ดินได้เงินเราไปอีกเช่นเคย
เวลาที่เหลือน่ะรึ….
“นอน”
อ่านเรื่องราว “Pat in Japan” ทุกตอนได้ที่นี่
2 คอมเมนต์