และแล้วทริปที่รอคอยก็มาถึง เป็นการเดินทางที่ไกลแสนไกลที่สุดในชีวิต นั่งเครื่องบินยาวนาน 5 ชั่วโมง ข้ามแผ่นดินและทะเลไปลงจอดที่เกาหลีใต้ ใช่แล้ว วันนี้ ผมจะเล่าเรื่องราวของการไปเยือนและท่องเที่ยวในดินแดนกิมจิ แค่บางส่วนของดินแดนกิมจิเท่านั้น เป็นการไปเยือนครั้งแรกในชีวิต จึงไม่อยากหาญกล้าไปด้วยตัวเอง หากแต่ไปด้วยวิธีการซื้อทัวร์ ซึ่งก็ได้ผู้บริการที่ใจดีและมีคุณภาพอย่าง YoSo Travel ช่วยเหลือตลอดการเดินทาง
เดินทางกันด้วยสายการบิน AirAsia X ที่เปิดบริการการบินระหว่างประเทศมาได้ครบ 1 ขวบปีเต็ม บินตรงจาก ท่าอากาศยานดอนเมือง ประเทศไทย ตั้งแต่ 8 โมงเช้าตามเวลาไทย สู่ ท่าอากาศยานอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ประมาณบ่ายสามตามเวลาบ้านเขา และนี่คือบันทึกเรื่องราวของการเดินทางสู่บ้านเกิดของซีรี่ส์ที่คนไทยติดตามนักหนาประเทศหนึ่งในเวลานี้ “เที่ยวเกาหลี” ครั้งแรกในชีวิต
ศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2557
นอนไม่ค่อยหลับ เพราะต้องลุกแต่เช้าตรู่เพื่อไปสนามบินให้ตรงตามเวลานัดหมาย ตี 5 เพื่อที่จะขึ้นเครื่องที่ออกจากดอนเมืองในเวลา 08.15 น. และอยู่ในอากาศยาวนานราว5 ชั่วโมง เพื่อไปร่อนลงยังสนามบินอินชอนในเวลาประมาณ 15.15 น. อาหารบนเครื่องวันนั้นเป็นข้าวไก่เทริยากิรสชาติค่อนข้างจืดชืดนิดหน่อย
ลงไปถึงที่นั่นพบว่า อากาศกำลังสบายเลยล่ะ ไม่ได้หนาวเท่าไหร่เลยนี่ แต่ก็รีบรุดไปเปลี่ยนชุดรับอากาศหนาวในห้องน้ำก่อน ก่อนจะออกมาเจอกับสภาพอากาศจริงๆ ข้างนอกอาคาร มันหนาวจริงๆ ครับท่าน รีบรุดขึ้นรถบัสกันแทบไม่ทัน
การไปเยือนเกาหลีครั้งนี้ของพวกเรา คือการที่ครอบครัวของลูกๆ พาคุณแม่ไปเที่ยวเมืองนอกสักครั้ง รถบัสพาเราออกจากสนามบินผ่านถนนอันแสนเรียบ ผ่านทิวทัศน์อันน่ามอง สองข้างทางมีแต่ภูเขา ใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี ผ่านทะเล และแม่น้ำ…
17.30 น.
เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ก็เวลาที่นั่นเร็วกว่าบ้านเรา 2 ชั่วโมง รถบัสพาเราเข้าไปในเมืองเพื่อไปเที่ยวชมชุมชนไชน่าทาวน์อันเก่าแก่เพียงแห่งเดียวในเกาหลี รถจอดส่งเราที่หน้าซอย Jemullyang
เดินเท่าขึ้นไปบนเนินผ่านขั้นบันไปจนไปถึงทางแยก จะพบกับร้านกาแฟสวยๆ บรรยากาศโรแมนติกชื่อ ‘The CAFE’ ที่คนเกาหลีมักมาถ่ายภาพพรีเว้ดดิงกัน แวะพักถ่ายรูป ทานกาแฟ เข้าห้องน้ำ
เรียบร้อยแล้วจึงเดินกันต่อขึ้นไปข้างบน แสงน้อยลงทุกที พร้อมๆ กับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว มือเริ่มเย็นจนต้องหยิบถุงมือมาใส่เป็นบางหน เราเดินขึ้นหนีแรงโน้มถ่วงไปตามทาง ก่อนจะได้เห็นกลุ่มคนยืนออกกำลังกายกันอยู่ ที่นั่นมีมุมสวยของใบไม้เปลี่ยนสีให้เก็บภาพ
ทุกภาพถูกถ่ายภายใต้ความรีบเร่งและสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ อยู่ได้เดี๋ยวเดียวก็ถึงเวลาต้องเดินลงแล้ว ด้วยใกล้ถึงเวลานัดหมายของกรุ๊ปทัวร์แล้ว เพื่อที่จะไปทานมื้อแรกในเกาหลีด้วยกัน…
18.39 น.
บูลโกกิ (Bulgogi) หรือพูโกกิ คือมื้อเย็นของเราในวันนี้ รถบัสพาเรามาลงที่ลานจอดใกล้ๆ กับ Galaxy Hotel เดินต่อไปอีกนิดหน่อย ก็ถึงร้านจุดหมายที่ตั้งอยู่ริมทะเล ความหิวพาเราเดินขึ้นไปเพื่อลิ้มชิมรสชาติแรกบนดินแดนแห่งนี้ ร้านชื่อเสียงเรียงใดมิอาจทราบได้ ได้แต่ถ่ายภาพหน้าร้านมาฝาก เผื่อว่าใครจะอ่านออก
ลักษณะของบลูโกกินั้น ได้รับคำบอกเล่าว่า บูล แปลว่า หมู ส่วนโกกิ นั้นมีความหมายว่า ขลุกขลิก มันเป็นการผัดหมูในหม้อที่มีน้ำขลุกขลิก แต่สำหรับคนไทยที่ชอบจะซดน้ำ มันจึงใกล้เคียงความเป็นสุกี้เสียมากกว่า นอกหม้อจะมีชามบรรจุเครื่องเคียงหลากสี ทั้งกิมจิ, กิมจิปลาหมึก, กิมจิถั่วงอก, สาหร่าย, หอม, กระเทียม, หัวไชโป๊วดอง และอะไรอีกสักอย่างหนึ่ง ไกด์พยายามจะให้ลองทุกสีสันซึ่งก็พบว่ารสชาติพอถูกปากอยู่ไม่กี่อย่าง แต่บูลโกกิในหม้อนั้นน้ำของมันอร่อยมาก ใส่บะหมี่เกาหลีเข้าไป กินกับข้าวสวยใส่ในถ้วยโลหะ อืม อร่อยเหาะ มื้อนั้นอิ่มหมีพีมันกันอย่างมาก
ที่นี่เป็นแบบบุฟเฟต์เติมไม่อั้น แต่ก็ต้องประมาณตัวเองด้วยเช่นกันนว่า จะสามารถรับประทานไปได้แค่ไหน ที่นี่เขาไม่กินข้าวเหลือกันครับ เพราะฉะนั้น คนไทยที่มีนิสัยกินทิ้งกินขว้าง บางทีก็ต้องปรับตัวกันนิดนึง
กินเสร็จก็ออกมาเดินย่อยกันนิดหน่อย ตรงนั้นเป็นทางเดินยาวติดกับทะเล มีรางรถไฟแบบโมโนเรลยาวไปตามแนวแผ่นดิน และมีร้านค้าหลากสไตล์เรียงรายอยู่ตรงนั้น แต่ละร้านตกแต่งสวยงามด้วยไฟหลากสี แถบนั้นมีซอยหนึ่งที่เป็นส่วนสนุกด้วย (แต่ก็ไม่ได้เข้าไป) เดินเล่นนิดหน่อยให้ร่างกายได้ทดลองสัมผัสและคุ้นชินกับลมหนาวกันก่อน
20.00 น.
มันคงถึงเวลาต้องเดินทางไปพักผ่อนกันแล้ว คืนนี้ เราจะพักกันในเมืองซูวอน (Suwon) ที่อยู่ทางตอนใต้ของกรุงโซล เดินทางกันไกลนิดหน่อย กว่าจะถึงที่พักก็ปาเข้าไป…
21.10 น.
คนขับรถชาวเกาหลีก็ขับบัสมาส่งเราที่ Benekia Win Hotel (ที่น่าจะมีชื่อเดิมว่า Winsor Castle Hotel) ซักซ้อมนัดหมายสำหรับเช้าวันพรุ่งนี้กันก่อนจะแจกคีย์การ์ดให้กับแต่ละห้อง ความเซอร์ไพรส์อย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือ ห้องแต่ละห้องจะไม่เหมือนกันในบางอย่าง เช่นคีย์การ์ดประตูจะไม่เหมือนกัน บางห้องอาจจะใช้การเสียบการ์ด แต่บางห้องใช้การแตะสแกน ห้องน้ำก็มีอาจบางห้องที่เป็นอ่าง ชักโครกมีคันโยกสำหรับฉีดน้ำทำความสะอาดก้น แต่สิ่งที่เหมือนๆ กันก็คือ ที่นี่จะใช้ระบบควบคุมทุกอย่างภายในห้องด้วยรีโมท….อันเดียว
แต่เขาก็ยังมีปุ่มเปิดปิดไฟมาให้เราต่างหากอีกนั่นแหละ
ที่นี่จะมีช่องทางที่แสงเข้าเพียงแค่หน้าต่างเท่านั้น แอร์ไม่เปิดแต่เปลี่ยนเป็นฮีตเตอร์แทน ซึ่งบางวันก็อาจจะร้อนจนอบก็ได้ ปลั๊กรางเราเตรียมมาพร้อม ที่เกาหลีจะใช้ไฟ 220 โวลต์เหมือนกับบ้านเรา แต่แตกต่างตรงที่หัวเสียบจะเป็นวงกลมและเต้าเสียบจะบุ๋มลึกเข้าไป จึงต้องเตรียมอะแดปเตอร์มาพร้อม ซึ่งถ้าไม่มีก็เช่าเอาจากของโรงแรมก็ได้ การมีปลั๊กรางติดตัวมา จะดีตรงที่ถ้าเจอโรงแรมที่มีปลั๊กให้เสียบน้อย หรือมีอะแดปเตอร์อันเดียว ก็จะใช้ได้แค่อุปกรณ์เดียว แต่ถ้ามีปลั๊กรางก็จะสามารถทำหลายอย่างพร้อมกัน เช่น ชาร์จมือถือ ชาร์จแท็บเล็ต ชาร์จแบตกล้อง ไปพร้อมๆ กันได้
วันนี้ ลงไปหาเบียร์เกาหลีกินสักขวด พูดคุยกันพอหอมปากหอมคอจึงกลับขึ้นมาอาบน้ำเตรียมตัวนอนกัน
อยู่ที่นี่ เป็นครั้งแรกที่ได้ดูซีรีส์เกาหลีพร้อมกับคนเกาหลี เสียอย่างเดียว คือ “ฟังไม่ออก” ครับ เอาล่ะ เราคงได้เวลานั้นกันแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพราะเราต้องเดินทางไปตามรอยซีรี่ส์ในวันเสาร์ที่คนเกาหลีจะเยอะมากนั่นเอง
ขอไปนอนก่อนนะ
———————————————————-
ทัวร์ใบไหม้เปลี่ยนสี | [ เที่ยวเกาหลีวันแรก – อินชอน ] [ เที่ยวเกาหลี วันสอง – เกาะนามิ ] [ เที่ยวเกาหลี วันที่สาม – โซลทาวเวอร์ ฮงแด และเมียงดง ] [ เยือนเกาหลี วันสุดท้าย – บุกชอนฮันอก ]